เปิดภารกิจเร่งด่วนของ 200 สว. “ชุดกติกาพิสดาร”
เปิดภารกิจเร่งด่วนของ 200 สว. “ชุดกติกาพิสดาร”
หากไม่มีอะไรผิดพลาด คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะประกาศรับรองผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในวันที่ 3 ก.ค. นี้ ซึ่งจะเป็นวันเริ่มนับสมาชิกภาพของ 200 สว. “ชุดกติกาพิสดาร”
หนึ่งวันก่อนหน้านั้น 250 สว. “ชุดเฉพาะกาล” ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะพ้นจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ หลังอยู่กับคนไทยมายาวนาน 5 ปี 54 วัน
แม้ สว. ชุดใหม่สามารถเอาชนะคู่แข่งขันภายใต้กติกาที่ “ซับซ้อนที่สุดในโลก” มาได้ ทั้งในรอบ “เลือกตัวเอง-เลือกกันเอง” ในกลุ่มอาชีพรวม 20 กลุ่ม และ “เลือกไขว้” กลุ่มร่วมสาย รวม 3 ระดับ ซึ่งปิดท้ายด้วยการเลือกทรหดข้ามวันข้ามคืนในระดับประเทศ
แต่เมื่อสังคมได้เห็นโฉมหน้าของว่าที่สมาชิกสภาสูง เสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวางก็ดังขึ้น ทั้งเรื่อง “คุณสมบัติไม่ตรงปก” และข้อครหาเรื่องเป็นเครือข่ายของนักการเมือง “บ้านใหญ่-ค่ายสีน้ำเงิน” เกินค่อนสภา แต่ถึงกระนั้น พวกเขาต้อง “รับไม้ต่อ” จาก สว. รุ่นพี่ ทำ 4 ภารกิจสำคัญตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ในช่วง 180 วันแรกของวุฒิสภาชุดที่ 13 (ก.ค.-ธ.ค.) มีภารกิจสำคัญอะไรรออยู่บ้าง บีบีซีไทยรวบรวมมาไว้ ณ ที่นี้
เคาะชื่อ 12 กก. องค์กรอิสระ
หนึ่งในอำนาจที่สำคัญของ สว. คือ การพิจารณาและให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งใน 6 องค์กรอิสระ และ 7 ตำแหน่งในองค์กรอื่นตามที่กฎหมายกำหนดเอาไว้
ที่ผ่านมา มีองค์กรอิสระอย่างน้อย 3 องค์กร - ศาลรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) - ที่ถูกนักวิชาการและนักการเมืองฝ่ายค้านและเครือข่ายวิจารณ์ว่าทำหน้าที่ “สองมาตรฐาน” และตกเป็นเป้าหมายในการ “รื้อโครงสร้าง”
ขณะเดียวกันบรรดาผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองยังจับตาดูว่าปรากฏการณ์ “บ้านใหญ่ยึดสภาสูง” คือก้าวแรกของเข้าการคุมองค์กรอิสระหรือไม่
ปัจจุบันองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญยังมีองค์ประกอบแบบ “ลูกผสม” บางส่วนมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. เป็นผู้เคาะชื่อ และบางส่วนมี สว. ชุดเฉพาะกาล เป็นผู้เคาะชื่อ
ภายในปี 2567 จะมีกรรมการองค์กรอิสระหมดวาระลง 12 คน จาก 4 องค์กร โดยที่ สว. ชุดใหม่ต้องเป็นผู้ให้ความเห็นชอบแต่งตั้ง ซึ่งบางตำแหน่งอาศัย “เสียงเกินกึ่งหนึ่ง” และบางตำแหน่งอาศัย “เสียงข้างมาก” ของวุฒิสภา
- ก.ย. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เกือบยกชุดรวม 6 จากทั้งหมด 7 คน จะครบวาระ ประกอบด้วย พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธาน, ยุพิน ชลานนท์นิวัฒน์, พิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์, จินดา มหัทธนวัฒน์, สรรเสริญ พลเจียก, อรพิน ผลสุวรณ์
- พ.ย. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะครบวาระ 2 จากทั้งหมด 9 คน คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธาน, ปัญญา อุดชาชน
- พ.ย. ผู้ตรวจการแผ่นดินจะครบวาระ 1 จากทั้งหมด 3 คน คือ สมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธาน
- ธ.ค. กรรมการ ป.ป.ช. จะครบวาระ 3 จากทั้งหมด 9 คน คือ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน, สุวณา สุวรรณจูฑะ และ วิทยา อาคมพิทักษ์
นอกจากตำแหน่งข้างต้นที่ สว. ชุดใหม่จะได้พิจารณาทั้งกระบวนการแล้ว ยังมี 2 ตำแหน่งสำคัญในองค์กรอื่นตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ที่วุฒิสภาชุดเดิมแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อทำหน้าที่สอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง ไปตั้งแต่ 18 มิ.ย. แล้วต้องนำรายงานมาขอความเห็นชอบจากวุฒิสภาชุดใหม่ คือ ประสิทธิศักดิ์ มีลาภ ผู้ได้รับเสนอชื่อให้เป็นประธานศาลปกครองสูงสุดคนใหม่ และ รัช พรสมบูรณ์ศิริ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นอัยการสูงสุดคนใหม่
หนึ่งในอำนาจที่สำคัญของ สว. คือการคัดกรองผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
รื้อรัฐธรรมนูญ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 คือภารกิจสำคัญที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจลงชิงเก้าอี้ สว. หลังพบว่าวุฒิสมาชิกชุดก่อนคืออุปสรรคสำคัญในการสกัดกั้นการรื้อรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 เพื่อรื้อถอน “ระบอบประยุทธ์”
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สว. ชุดเฉพาะกาล โหวต “ยับยั้งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ไปถึง 25 ฉบับ โดยมีเพียงร่างเดียวที่ สว. ยกมือผ่านให้ จนได้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย
ร่างแก้ไขร้ฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว เสนอโดยหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” เพื่อแก้ไขมาตรา 83 และมาตรา 91 (แก้ไขระบบเลือกตั้ง สส. โดยยกเลิกระบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” แล้วกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพื่อเลือก สส.เขต กับ สส.บัญชีรายชื่อ)
“แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้เป็นนายกฯ แล้ว แต่ระบอบประยุทธ์ยังอยู่กับเราในรูปแบบรัฐธรรมนูญ 2560 คุณประยุทธ์ไม่อยู่แล้ว แต่ตัวระเบียบที่ก่อร่างสร้างตัวคณะรัฐประหารยังอยู่กับเรา” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวในวันแถลงเปิดแคมเปญ “สว. ประชาชน” เพื่อรณรงค์ให้คนธรรมดาร่วมลงสมัคร สว.
อย่างไรก็ตามมีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “สว. ประชาชน” หลุดเข้าสภาสูงได้เพียง 28 คนเท่านั้น จากเป้าหมายขั้นต่ำ 67 คน
ภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบจาก สว. ในวาระที่ 1 และวาระที่ 3 ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของวุฒิสภา หรือ 67 จากทั้งหมด 200 คน
ผู้สมัครที่เรียกตัวเองว่า “สว. ประชาชน” ได้รับเลือกให้เป็น สว. 28 คน และอีก 8 คนติดบัญชีสำรอง
รัฐบาลผสม 314 เสียง ภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน ประกาศนโยบาย “จัดทำรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” โดยแกนนำเพื่อไทยเคยระบุว่าจะขอมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ทำประชามติเปิดทางแก้ไขรัฐธรรมนูญในการประชุม ครม. นัดแรก ทว่า 9 เดือนผ่านไป กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญยังไม่ได้เริ่มต้น “นับหนึ่ง” สถานะล่าสุดของเรื่องนี้คือ รัฐบาลขอรอให้มีการแก้ไขกฎหมายประชามติ ก่อนเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ปัจจุบันมีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ.... ค้างอยู่ในรัฐสภาอย่างน้อย 2 ฉบับ โดยประธานรัฐสภายังไม่บรรจุระเบียบวาระ ฉบับแรกเป็นของพรรคเพื่อไทย (พท.) มี ชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค เป็นเจ้าของร่าง อีกฉบับเสนอโดยพรรคก้าวไกล (ก.ก.) นำโดย พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค โดยทั้ง 2 ฉบับมีหลักการตรงกันคือ ให้เพิ่มหมวด 15/1 (การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) และแก้ไขมาตรา 256 (การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ)
ร่าง กม. อย่างน้อย 8 ฉบับรอคิวส่งให้วุฒิฯ กลั่นกรอง
สว. ยังมีหน้าที่และอำนาจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โดยสามารถ “เห็นชอบ” ตามที่สภาผู้แทนราษฎรส่งมา หรือ “แก้ไขเพิ่มเติม” แล้วส่งกลับสภาล่างได้ หรือถ้าไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนฯ ก็มีสิทธิ “ยับยั้ง” ร่าง พ.ร.บ. นั้นไว้ก่อน และส่งร่างกลับสภาผู้แทนฯ เพื่อตั้ง กมธ.ร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ฉบับนั้น ๆ โดยที่สภาล่างสามารถยืนยันร่างเดิมตัวเอง หรือจะใช้ร่าง กมธ. ร่วมฯ ก็ได้
ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ของวุฒิสภา แบ่งเป็น 3 วาระเช่นเดียวกับสภาผู้แทนฯ โดยวาระที่ 1 พิจารณาและลงมติว่าจะรับร่างกฎหมายไว้พิจารณา หรือไม่เห็นชอบกับสภาผู้แทนฯ วาระที่ 2 พิจารณารายละเอียดโดยคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่วุฒิสภาตั้งขึ้น ก่อนนำร่างที่ กมธ. พิจารณาแล้วเสร็จกลับมาให้วุฒิสภาลงมติเป็นรายมาตรา วาระที่ 3 ลงมติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนฯ ว่าสมควรประกาศใช้เป็นกฎหมายหรือไม่
นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ฟังการอภิปรายงบประมาณปี 2568 ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนฯ 19-21 มิ.ย.
กฎหมายสำคัญฉบับแรก ๆ ที่วุฒิสภาต้องพิจารณา หนีไม่พ้น
- ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ของรัฐบาล “เศรษฐา” ซึ่งผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯ ในวาระที่ 1 เมื่อ 21 มิ.ย. และอยู่ระหว่างการพิจารณาวาระที่ 2 ในชั้น กมธ. วิสามัญพิจารณาร่างฯ ก่อนกลับเข้าสภาเพื่อพิจารณาและลงมติในวาระ 2-3 และคาดว่าจะส่งร่างให้วุฒิสภาพิจารณาได้ในเดือน ก.ย. นี้ ทั้งนี้วุฒิสภาต้องให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบภายใน 20 วันนับแต่วันที่ร่างมาถึงวุฒิสภา โดยจะแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ มิได้
- ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน 4 ฉบับ (เสนอโดย ครม., พรรคเพื่อไทย, พรรคก้าวไกล, พรรคภูมิใจไทย แต่ใช้ร่างของรัฐบาลเป็นร่างหลัก) ซึ่งผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯ ในวาระที่ 1 เมื่อ 18 มิ.ย. โดย กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างฯ เรียกประชุมนัดแรก 3 ก.ค. ก่อนนำร่างกลับเข้าสภาเพื่อพิจารณาในวาระ 2-3 โดยคาดว่าจะส่งร่างให้วุฒิสภาพิจารณาได้ในเดือน ส.ค. นี้ ทั้งนี้วุฒิสภาต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ร่างมาถึงวุฒิสภา สำหรับหลักการสำคัญของร่างกฎหมายนี้เป็นการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติปี 2564 ให้ยกเลิก “เสียงเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น” (Double Majority) และให้จัดประชามติวันเดียวกับวันเลือกตั้งได้
นอกจากนี้ยังมีร่างกฎหมายอื่น ๆ อีกอย่างน้อย 6 ฉบับที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนฯ หลังผ่านวาระรับหลักการไปแล้ว หากสภาผู้แทนฯ ผ่านวาระ 2-3 สว. ชุดใหม่ก็จะต้องรับร่างมากลั่นกรองต่อไป อาทิ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด, ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์, ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิก พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534, ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง, ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558
สว. ยังมีอำนาจร่วมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ร่วมกับ สส. ด้วย เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำในที่ประชุมร่วมกับของรัฐสภา ซึ่งหากมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ 21 และประกาศใช้ได้จริง ก็จะมีการจัดทำ พ.ร.ป. ราว 10 ฉบับหลังจากนั้น
ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล
ด้านการตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล แม้ สว. ไร้อำนาจในการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แต่พวกเขาสามารถขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้ ครม. แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหาราชการแผ่นดินโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 153 ได้ เหมือนที่ 250 สว. เคยทำกับรัฐบาลเศรษฐาครั้งแรกและครั้งเดียวในช่วง 5 ปีที่มีอำนาจ อย่างไรก็ตามการขอเปิดอภิปรายทั่วไป ต้องล่าชื่อ สว. ได้ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เพื่อเสนอยื่นญัตติ
นอกจากนี้ สว. ยังสามารถตั้งกระทู้ถามรัฐบาลได้เหมือนกับ สส. ไม่ว่าจะเป็น กระทู้ถามด้วยวาจา หรือกระทู้ถามเป็นหนังสือ เพื่อให้รัฐบาลตอบในที่ประชุมวุฒิสภา หรือให้ตอบในราชกิจจานุเบกษา