‘ดร.สันติธาร’ เผยผลประชุมผู้นำโลก WEF ที่จีน ชี้ใครได้เสีย ลั่นภูมิใจทีมไทยแลนด์
ภาพประกอบข่าว
‘ดร.สันติธาร’ เผยผลประชุมผู้นำโลก WEF ที่จีน ชี้ใครได้เสีย ลั่นภูมิใจทีมไทยแลนด์
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐสาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับเรื่องการประชุมผู้นำโลก WEF ที่ประเทศจีน โดยมีการตั้งข้อสังเกต 7 ประการ ความว่า
1.ประเทศเล็กสามารถได้สปอตไลท์จากโลก
การประชุมผู้นำของ World Economic Forum (WEF) ที่ประเทศจีนมีชื่อเล่นว่า Summer Davos จะมีผู้นำแต่ละประเทศมาน้อยกว่า หากเทียบกับการประชุมใหญ่ประจำปีที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
แต่จุดนี้อาจกลายเป็นข้อดีสำหรับประเทศเล็กเพราะจะได้สปอตไลท์โดดเด่นเต็มที่จากนักลงทุนและธุรกิจต่างๆไม่ถูกประเทศใหญ่แย่งซีน นอกจากนี้ธีมยังค่อนข้างเน้นเรื่องนวัตกรรม เทคโนโลยี และเอเชียโดยเฉพาะอาเซียนมากกว่างานที่ดาวอส จึงเป็นเวทีที่อาจทำให้ประเทศไทยน่าพิจารณาให้ความสำคัญ
2. เวียดนามได้ซีน
ต้องยอมรับว่าเวียดนามได้ฉกฉวยโอกาสใช้เวทีการประชุมนี้ได้อย่างดี โดยนายกฯเวียดนามได้ขึ้นเวทีเปิดงานประชุม พร้อมกับนายกหลี่เฉียงของประเทศจีน และประธานาธิบดีของโปแลนด์ และที่สำคัญกว่านั้นยังมีเวทีพิเศษให้กับเวียดนาม เช่น การประชุมวงปิดกับนักลงทุนและธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ทางเขาได้จัด ‘ทีมเวียดนาม’ ที่มีผู้นำระดับรัฐมนตรีหลายประกบกับนายกเพื่อช่วยตอบคำถามเจาะลึกจากนักลงทุนและธุรกิจจากหลากหลายอุตสาหกรรมได้
3. จีนเปิดประตูรับธุรกิจ + เชื่อในพลังของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อีกประเทศที่โดดเด่นคงหนีไม่พ้นเจ้าภาพคือประเทศจีนนั่นเอง โดยส่วนตัวคิดว่าแมสเสจสำคัญจากรัฐบาลที่ได้ยินหลายครั้งจากผู้นำหลายคนมี 3 ประการ ก็คือ
-หนึ่ง “ประเทศจีนเปิดรับธุรกิจและการลงทุน” แน่นอนข้อความนี้ ถูกส่งออกหานักธุรกิจและนักลงทุนต่างประเทศที่ช่วงหลังมาลงทุนในจีนน้อยลงและผันไปประเทศ กำลังพัฒนาอื่นมากขึ้น (รวมทั้งอาเซียน)
-สอง “วิทยาศาตร์และเทคโนโลยี” (ใช้คำว่า Sci-Tech) คือ หัวใจของการหาเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ให้กับโลก จีนให้ความสำคัญกับการลงทุนและสร้างระบบนวัตกรรมเพื่อพัฒนา Sci-Tech ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ คือ ตั้งแต่การวิจัยวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน แล้วเอาความรู้ไปต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีใช้ในภาคอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะด้าน AI, ‘เทคโนโลยีสีเขียว’, ชีวการแพทย์) จนไปถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงและใช้เทคฯได้ง่ายขึ้น
-สาม “การปิดเศรษฐกิจและสงครามการค้าไม่ใช่คำตอบ” แน่นอนว่าตรงนี้มีแอบเหน็บประเทศตะวันตกหน่อยๆว่าอาจจะใช้เรื่องความมั่นคงและสิ่งแวดล้อมเป็นข้ออ้างในการตั้งกำแพงสกัดการพัฒนาเทคโนโลยีของจีนที่ล้ำไปมากโดยด้านพลังงานสะอาดและ EV (ปล. เสวนาเรื่อง อนาคต EV ของจีนคนฟังล้นทะลักมากอย่างกับมีดาราเกาหลีมา)
ภาพประกอบข่าว
4. 4 ธีมแห่งอนาคต
มาพูดถึงเนื้อหาการประชุมและการพูดคุยถกเถียงเสวนากันบ้าง 4 ธีมที่ชัดเจนมากคือ อนาคตของ AIและคน, สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว, ประชากรสูงวัยและสุขภาพ, ภูมิรัฐศาสตร์โลกและสงคราม ซึ่งก็ตรงกับ 4 หักมุมในหนังสือ Twists and Turns พอดีจึงเป็นโอกาสดีที่ผมได้อัพเดทความรู้ที่เขียนในหนังสือไปด้วย (ขอแอบโปรโมทหนังสือด้วยนิดนึง พิมพ์ครั้งที่ 2 ออกมาละครับ)
5. ความกังวลเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมีสูงเป็นพิเศษ
ผู้นำหลายประเทศและผู้เชี่ยวชาญ แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งความเสี่ยงที่สงครามในภูมิภาคต่างๆจะแพร่ขยายเป็นไฟลามทุ่ง ยิ่งกลุ่มประเทศที่อยู่ใกล้สงครามภูมิภาคเหล่านี้จะเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ได้แค่กังวลต่อผลกระทบต่อประเทศเท่านั้นแต่บ่อยครั้งมี “อารมณ์ร่วม” ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจนอีกด้วย ดังนั้นการตัดสินใจต่างๆอาจไม่ได้อยู่ บนฐานของเหตุผลอย่างเดียวแต่ต้องพิจารณาปัจจัยด้านอารมณ์ด้วย
ทั้งความเสี่ยงที่สงครามการค้า การเงินและเทคโนโลยีจะรุนแรงขึ้น โดยส่วนใหญ่แสดงความกังวลต่อนโยบาย “สนามเล็ก รั้วสูง” ของสหรัฐฯ (Small Yard, High Fence) ที่หมายถึงการควบคุมเข้มงวดในด้านเทคโนโลยีและการค้ายุทธศาสตร์ โดยจำกัดขอบเขตในวงแคบ แต่มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด เน้นปกป้องความมั่นคงของชาติและป้องกันการแพร่กระจายของเทคโนโลยีสำคัญไปยังประเทศคู่แข่ง อาจจะทำให้ประเทศอื่นโต้ตอบและมีผลลบต่อทั้งโลก แน่นอนว่าทุกคน ค่อนข้างกังวลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐปลายปีนี้
6. AI คือ โอกาส..ของคนและประเทศที่พร้อมใช้มัน
ทั้งผู้นำประเทศ ธุรกิจและนักวิชาการมีความกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยี AIที่พัฒนาอย่างรวดเร็วมากจนตามไม่ทัน แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเห็นตรงกันว่ายังไงก็หลีกเลี่ยงยากและอาจเป็นโอกาสสำคัญสำหรับเศรษฐกิจเช่นกัน เช่น การใช้เพื่อลดต้นทุน, เพิ่มผลผลิต, และ ‘คืนเวลาให้กับคน’ ในวงการ ด้านการศึกษา การแพทย์ การพัฒนายา การเงิน อุตสาหกรรมการผลิต ฯลฯ
โจทย์สำคัญสำหรับองค์กรและประเทศคือการเตรียมความพร้อม ทั้งด้าน คน, ข้อมูล, เทคโนโลยี, กฎกติกา, และพลังงาน โดยสิ่งสำคัญเร่งด่วนคือการให้ความรู้กับคนให้มีความรู้พื้นฐาน (AI literacy) ที่จะใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่าง:
-สร้างสรรค์ (เช่น ตอบโจทย์การทำงานและธุรกิจ)
-ถูกวิธีถูกกาลเทศะ (เช่น ไม่ใช่ทุกปัญหาจะเหมาะกับการใช้ GenAI)
-และมีภูมิคุ้มกัน (เช่น ไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล, ถูกมิจฉาชีพหลอก)
เรื่อง AIมีรายละเอียดที่น่าสนใจอีกมากที่จะขอมาเล่าวันหลังครับ
7. ครั้งแรกที่ไป WEF แบบ ‘ไม่มีหมวก’
ทิ้งท้ายว่าครั้งนี้เป็นการประชุม WEF ที่อาจจะสนุกที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับผม เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมไปในฐานะ ‘ผู้เชี่ยวชาญ‘ ไม่ได้ใส่หมวกบริษัทใด แค่ไปฟังในเรื่องที่อยากรู้ พบคนที่อยากพบ และพูดแชร์มุมมองจากประเทศอาเซียนในเวทีต่างๆ
และที่ดีใจเป็นพิเศษคือการที่ได้พบตัวแทนองค์กรเอกชนชั้นนำของไทยเก่งๆหลายท่านที่ก็เป็นเสมือนตัวแทนประเทศในด้านต่างๆไปพูดในเวทีระดับโลก
ภูมิใจใน ‘ทีมไทยแลนด์’ ครับ
#WEF2024
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘ดร.สันติธาร’ เผยผลประชุมผู้นำโลก WEF ที่จีน ชี้ใครได้เสีย ลั่นภูมิใจทีมไทยแลนด์
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th