การละคร? เมื่อรัฐประหารโบลิเวียอาจเป็นการจัดฉากของรัฐบาลเสียเอง
การละคร? เมื่อรัฐประหารโบลิเวียอาจเป็นการจัดฉากของรัฐบาลเสียเอง
หนึ่งในความเคลื่อนไหวของต่างประเทศที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้คือเหตุการณ์รัฐประหารที่ประเทศโบลิเวีย เมื่อ พล.อ.ฮวน โฮเซ ซูนิกา ผู้บัญชาการกองทัพบก นำกำลังทหารบุกประชิดทำเนียบประธานาธิบดี ปลุกฝันร้ายของประชาชนที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของทหารเมื่อช่วงปี 1964-1982
นั่นทำให้เมื่อประธานาธิบดี ลุยซ์ อาร์เซ ประกาศปลุกระดมวลชนให้รวมพลังกันออกมาต่อต้านการรัฐประหารจึงมีผู้ออกมาเข้าร่วมจำนวนมากและนำไปสู่การยอมจำนนของทหาร
ฮ่องกงคาดโทษโรงเรียนหลายแห่ง เหตุนักเรียนร้องเพลงชาติจีนเบาเกินไป
เกาหลีเหนือประหารชีวิตหนุ่มวัย 22 ต่อหน้าสาธารณะ ฐาน “ฟังเพลง K-Pop”
สรุปเวทีดีเบตแรก “ไบเดน” แพ้ยับเยิน ส่วน “ทรัมป์” พูดจาไร้หลักฐานไม่พัก
แต่หลังจากการจับกุมนายพลซูนิกาได้แล้ว กลับเกิดข้อสงสัยว่า ความพยายามรัฐประหารครั้งนี้ “เป็นเรื่องจริงแค่ไหน”
พล.อ.ซูนิกาบอกกับผู้สื่อข่าวว่า กองทัพออกมาปฏิบัติการแทรกแซง “ตามคำร้องขอของประธานาธิบดีอาร์เซ”
การเกิดรัฐประหารจะทำให้ประธานาธิบดีอาร์เซสามารถปรากฏตัวในฐานะผู้มีชัยที่พยายามปกป้องระบอบประชาธิปไตย และทำให้เขาได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
คาร์ลอส โตรันโซ นักวิเคราะห์การเมืองชาวโบลิเวีย ให้ความสำคัญกับทฤษฎีดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยบอกว่า ไขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนักว่า เป็นความพยายามรัฐประหารหรือเป็นการแสดงที่รัฐบาลจัดฉากเอง”
เบื้องต้นโตรันโซประเมินว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น “การกระทำโดยลำพัง” ของพล.อ.ซูนิกา เพราะ “ไม่มีการเคลื่อนไหวทางทหารในภาคส่วนหรือจังหวัดอื่น ๆ ดังนั้น นี่จึงไม่ใช่การกระทำของทั้งกองทัพ”
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. หรือ 1 วันหลังจากกองทหารถูกส่งไปยังจัตุรัสมูริลโลในเมืองหลวงลาปาซเพื่อพยายามเข้าไปในอาคารของรัฐบาล ทางการได้จับกุมผู้ต้องสงสัยอีก 17 คนที่พวกเขากล่าวว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในความพยายามก่อรัฐประหาร
เอดูอาร์โด เดล กัสติลโญ รัฐมนตรีประจำรัฐบาล กล่าวว่า การสืบสวนของตำรวจระบุว่า การวางแผนสำหรับเรื่องนี้ได้เริ่มมาตั้งแต่เดือน พ.ค.
อนิบาล อากวิลาร์ โกเมซ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ถูกกล่าวหา ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และประกาศอดอาหารประท้วง
แนวคิดเรื่องการรัฐประหารตนเอง มักจะหมายถึงประธานาธิบดีที่อยู๋ในวาระดำรงตำแหน่ง รู้สึกหงุดหงิดกับข้อจำกัดทางประชาธิปไตยตามปกติ จึงพยายามยึดอำนาจแบบพิเศษผ่านกระบวนการที่ผิดกฎหมาย
คำถามสำคัญคือ อาร์เซมีแรงจูงใจที่จะกระทำการดังกล่าวหรือไม่?
เรื่องราวทั้งหมดย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ของโบลิเวีย นั่นคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2005 เมื่อ เอโว โมราเลส หัวหน้าสหภาพผู้ปลูกโคคาขึ้นสู่อำนาจ
ก่อนช่วงเวลาดังกล่าว โบลิเวียถูกปกครองโดยชนชั้นสูงที่สืบเชื้อสายมาจากผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่สร้างความเสียหายให้กับชนพื้นเมืองส่วนใหญ่ แต่น่าเศร้าที่การเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาคาดหวังว่าจะเกิดหลังเลือกโมราเลสนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ
โมนิกา เด โบลเล จากสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ กล่าวว่า “มีช่วงเวลาหนึ่งขณะ เอโว โมราเลส ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีซึ่งโบลิเวียมองว่า พวกเขาพร้อมสำหรับการทะยานขึ้นอย่างแท้จริง”
โมราเลสดำเนินการอย่างเด็ดขาดในการเปลี่ยนแปลงโบลิเวีย โดยโอนแหล่งก๊าซขนาดมหึมาของประเทศให้เป็นของรัฐ เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 2 วาระ ในระหว่างนั้นราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นแกนสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศมีความผันผวน และดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะจากจีน
แต่แล้วราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกก็ร่วงลง นำไปสู่สิ่งที่ เด โบลเล อธิบายว่าเป็น “วิกฤตการณ์ดุลการชำระเงินที่เคลื่อนไหวช้า ๆ” โดยที่โบลิเวียยังมีน้ำมันเหลือ แต่อุตสาหกรรมตกต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลชุดต่อ ๆ มาไม่สามารถชักนำให้เกิดการลงทุนได้ ส่งผลให้การส่งออกก๊าซธรรมชาติลดลง ทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศหมดลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้น
ในปี 2019 โมราเลสลงสมัครชิงประธานาธิบดีสมัยที่ 3 โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ และได้รับเลือกอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เขาลาออกภายในไม่กี่สัปดาห์และเดินทางออกนอกประเทศหลังจากเกิดการประท้วงบนท้องถนน และหัวหน้ากองทัพเรียกร้องให้เขาออกไป
รัฐบาลชั่วคราวเข้ายึดอำนาจ แต่ในปีต่อมา พรรคการเคลื่อนไหวเพื่อสังคมนิยม (Mas) ของเขากลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง แต่อยู่ภายใต้ประธานาธิบดีอาร์เซ
ขณะนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปจะมีขึ้นในปี 2025 โมราเลสกลับมาที่โบลิเวียและมุ่งมั่นที่จะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่งทำให้เขากลายเป็นคู่แข่งทางการเมืองที่น่ากลัวของอาร์เซ
เด โบลเล กล่าวว่า “การแย่งชิงอำนาจระหว่างทั้งสองกำลังขัดขวางความสามารถของรัฐบาลในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเล็กน้อยสำหรับประชาชนโดยรวม”
ภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยของโบลิเวียได้ลดลงแล้วในขณะนี้ แต่ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจของประเทศยังไม่สิ้นสุด
เรียบเรียงจาก BBC