เลือกตั้งฝรั่งเศส : จะเกิดอะไรต่อไป เมื่อพรรครัฐบาลเป็นคนละฝั่งกับประธานาธิบดี
ภาพประกอบข่าว
ฝรั่งเศสเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภารอบแรกในวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 2024 และจะเลือกตั้งรอบสองในวันที่ 7 กรกฎาคม 2024
การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดการเดิมหลายปี ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เอ็มมานูเอล มาครง (Emmenuel Macron) ประธานาธิบดีฝรั่งเศสประกาศยุบสภาหลังทราบผลการเลือกตั้งสมาชิกสภายุโรปเมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมาว่าพรรคพรรคเรอเนซองส์ (Renaissance : RE) ของเขาพ่ายแพ้ต่อพรรคเนชั่นแนลแรลลี (National Rally : RN) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาจัดของมารีน เลอแปน (Marine Le Pen)
ภาพประกอบข่าว
การเลือกตั้งฝรั่งเศสครั้งนี้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 49 ล้านคน
หลังปิดหีบเลือกตั้งมีรายงานว่า จากการประมาณการของบริษัทสำรวจความคิดเห็น 4 แห่ง ประมาณการว่าอัตราผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งอยู่ที่ 69.2% ซึ่งสูงกว่าการเลือกตั้งในปี 1993 เล็กน้อย และเป็นจำนวนสูงสุดในรอบ 47 ปี นับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 1986 ซึ่งอัตราผู้ใช้สิทธิ์อยู่ที่ 78.5%
ภาพประกอบข่าว
ระบบการเลือกตั้งของฝรั่งเศสมีการแบ่งเขตเลือกตั้ง 577 เขต แต่ละเขตมีตัวแทนนั่งในสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาล่างของรัฐสภาเขตละ 1 ที่นั่ง พรรคที่จะเป็นเสียงข้างมากโดยสมบูรณ์จะต้องมีที่นั่งอย่างน้อย 289 ที่นั่ง
ผู้สมัครคนใดที่ได้คะแนน “เสียงข้างมาก” ในแต่ละเขตเลือกตั้งจะเป็นผู้ชนะเลือกตั้งตั้งแต่รอบแรก แต่โดยส่วนใหญ่ จะไม่มีผู้สมัครที่ชนะตั้งแต่รอบแรก แล้วจะต้องเข้าสู่การเลือกตั้งรอบสอง โดยกำหนดว่าผู้ที่จะเข้ารอบสองจะต้องได้รับคะแนนในรอบแรกอย่างน้อย 12.5% ของจำนวนผู้ลงทะเบียนเลือกตั้ง แล้วผู้ที่มีคะแนนสูงสุดในรอบสองจะเป็นผู้ชนะ
แต่ไหนแต่ไร ประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี มักจะมาจากพรรคที่มีที่นั่งมากที่สุด แต่ผลการสำรวจความคิดเห็นชี้ว่า ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสยุคหลังสงครามที่ฝ่ายขวาจัดจะชนะเลือกตั้ง สหภาพฝ่ายซ้ายเป็นอันดับสอง และพันธมิตรสายกลางของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ตามมาเป็นอันดับสาม
หากเป็นตามนี้ จอร์แดน บาร์เดลลา (Jordan Bardella) หัวหน้าพรรค National Rally (RN) วัย 28 ปีจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ทำลายสถิติของ กาเบรียล อัตตาล (Gabriel Attal) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันซึ่งทำสถิตินายกฯอายุน้อยสุดในวัย 34 ปี
แต่มีความเป็นไปได้ที่ RN จะชนะโดยที่ได้ไม่ถึง 289 ที่นั่ง แต่จอร์แดน บาร์เดลลากล่าวว่าเขาต้องการเสียงข้างมากโดยสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถดำเนินการปฏิรูปได้
ทั้งนี้ ในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสเคยมีช่วงเวลาที่เรียกว่า “การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” (Cohabitation) ซึ่งหมายถึงกรณีที่ประธานาธิบดีไม่ได้มาจากพรรคที่ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา อยู่ 3 ช่วง โดยช่วงเวลาดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายในช่วงปี 1997-2002 ที่ประธานาธิบดี ฌากส์ ชีรัก (Jacques Chirac) มีเสียง สส.น้อยกว่า และมีอำนาจรองจากนายกรัฐมนตรี ลียอแนล ฌ็อสแป็ง (Lionel Jospin)
ภาพประกอบข่าว
ในกรณีแบบนี้ นายกรัฐมนตรีของพรรคเสียงข้างมากจะกลายเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในประเทศ ส่วนประธานาธิบดีจะมีอำนาจตัดสินใจด้านกลาโหมและการต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การแบ่งอำนาจด้านนโยบายต่างประเทศยังไม่ชัดเจน และอาจเป็นปัญหาสำหรับจุดยืนของฝรั่งเศสต่อสงครามในยูเครนหรือนโยบายของสหภาพยุโรป
มาครงจะต้องรับมือกับรัฐสภาชุดใหม่เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี หลังจากนั้นเขาจึงจะสามารถประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ได้
มาครงได้รับมอบอำนาจให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อเดือนเมษายน 2022 และเขาจะเป็นประธานาธิบดีต่อไปอีก 3 ปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 2027 ซึ่งระหว่างนั้น ทั้งรัฐสภาและรัฐบาลไม่สามารถบังคับเขาออกไปจากตำแหน่งได้
ก่อนหน้านี้ ทีนีโอ (Teneo) บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจและการสื่อสารมองว่า มาครงยุบสภาและเรียกร้องการเลือกตั้งที่พรรคของเขาอาจจะแพ้ เพราะเป้าหมายสูงสุดของเขาอาจเป็นการเลื่อนชัยชนะของพรรค RN ให้มาถึงเร็วขึ้น เพื่อเผยให้ประชาชนเห็นว่าพรรค RN ขาดประสบการณ์ในการเป็นรัฐบาล และทำให้ RN ต้องพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2027
อ้างอิง :
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เลือกตั้งฝรั่งเศส : จะเกิดอะไรต่อไป เมื่อพรรครัฐบาลเป็นคนละฝั่งกับประธานาธิบดี
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net