คุย “เทศน์ ไมรอน” พระเอกเริ่มต้นจากศูนย์ มีคุณพ่อเป็นแฟนคลับเบอร์หนึ่ง
คุย “เทศน์ ไมรอน” พระเอกเริ่มต้นจากศูนย์ มีคุณพ่อเป็นแฟนคลับเบอร์หนึ่ง
แม้ “ใจพิสุทธิ์” ลาจอไปแล้ว แต่ความฮอตของพระเอกหน้าฝรั่งชื่อไทย “เทศน์ ไมรอน” ไม่มีแผ่ว กลายเป็นดาวดวงใหม่จากบท “รณจักร จุฑาเทพ” ลุคสุดเท่ผสานความละมุนอบอุ่น แฟนๆ เทใจให้หนักมาก
“พีพีทีวี” ได้คว้าตัวหนุ่มคนนี้มาพูดคุย ย้อนชีวิตก่อนจะมาเป็นนักแสดงและจุดเริ่มต้นก้าวเข้ามาโลดแล่นในวงการบันเทิงไทยเต็มตัว รวมไปถึงเรื่องหัวใจที่เฉลยสเปกแบบไม่มีกั๊กให้ฟังด้วย
“เทศน์-อุ้ม” มีเขิน! ตอบสถานะหัวใจ ไม่ติดถูกเชียร์คู่จิ้นเป็นคู่จริง
มาแล้ว! “ลิซ่า” ปล่อย MV เพลง “Rockstar” ประเดิมเพลงแรกค่าย LLOUD
ผ่านบททดสอบละครเรื่องแรกในชีวิต
“ใน ‘ใจพิสุทธิ์’ ผมท่องตำแหน่งเป็นปีเลยครับ ยืนหน้ากระจกแล้วท่องไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะเช้าปาก จนกว่ามันจะจำได้ จริงๆ มันเป็นฉากแรกที่ผมไปแคสติ้งเรื่องนี้ คือฉากแนะนำตัว ตอนนั้นคือผมยังพูดชื่อตัวเองไม่ได้เลย คนอื่นเขาอาจจะมีฉากเล่นอะไรจริงจัง แต่ผมแค่เดินเข้ามาแล้วพูดชื่อตัวละครยังไม่ได้เลย จริงๆ เขาให้ผมมาแคส 2 ฉาก คือฉากแนะนำตัวกับฉากดรามาที่เขาสร้างขึ้นมากับนางเอก ซึ่งตอนนั้น พี่อุ้ม (อิษยา ฮอสุวรรณ) ก็เป็นคนที่มาเล่นเป็นตัวพี่อุ้มเลยครับ ฉากที่แนะนำตัว ก็ได้รับฟีดแบ็ก ว่ากลับบ้านไปทำการบ้านเยอะๆ นะ มันพูดไม่ได้ครับ ‘รณจักร , รณจั๊ก’ มันไปไม่ถูกครับ แล้วมันจำไม่ได้ด้วย เพราะเราไม่เข้าใจว่าเรากำลังจะพูดอะไร
ตั้งแต่วันที่เขาส่งชื่อผมไปแคส ผมไม่ได้คาดหวังอะไรเลยครับ คือมันเป็นแคสติ้งละครครั้งแรกของผม แล้วผมก็แค่บอกตัวเองว่า โอเค…มาทำให้มันสนุกเท่าที่เราจะทำได้ในตอนนั้น ให้เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือไม่ได้คาดหวังอะไรเลยครับ พอเดินออกจากห้องนั้น ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ได้แหละ ก็มันพูดบทยังไม่ได้ ความรู้สึกของผมคือ ถ้าเราพูดบทไม่ได้ มันก็เล่นไม่ได้ แต่เขาก็บอกผมว่าเขาเห็นอินเนอร์อะไรบางอย่าง ที่มันเป็นตัวละครของ รณจักร ซึ่งถ้าถามว่าทำการบ้านไปหรือเปล่า ก็ทำนะครับ เขาจะส่ง Description ของตัวเองละครมา ผมก็อ่านและพยายามรู้สึกไปตามที่เขาส่งมา แต่ภายนอกก็ไม่รู้เหมือนกัน”
อุปสรรคคือภาษาไทย?
“ภาษาไทยยากมากๆ ครับ มันยากในทุกตรงครับ คือการที่ต้องมาเล่นละครเป็นภาษาไทย แล้วก็ต้องอ่านบทเป็นภาษาไทย จริงๆ แค่คุยกับคนในกองเป็นภาษาไทยก็ยากแล้วครับ คือตามมุกให้ทันด้วย แต่การที่อยู่ในกองมันก็ช่วยผมเยอะมากๆ เพราะได้เจอคนไทยที่ใช้ภาษาไทยจริงๆ ทุกวัน อยู่กับคนไทยทั้งวันทั้งคืน เพราะเราถ่ายละครกันหลายชั่วโมง แล้วพี่ๆ ทุกคนเขาก็พร้อมจะสอนผม มันไม่มีใครหงุดหงิด ผมโชคดีมากๆ ที่ได้เจอกองนี้ ไม่งั้นไม่รอดแน่ๆ
แล้วผมต้องเขียนบทเป็นภาษาอังกฤษกำกับเพื่อให้เข้าใจความหมาย บางทีผมก็ต้องไปถามคุณป้าว่าคำนี้แปลว่าอะไร แล้วก็เขียนข้างๆ บนบทว่าคำนี้แปลว่าอะไร ตอนจำก็จำเป็นภาษาอังกฤษก่อน แล้วค่อยมาจำเป็นภาษาไทย คือผมอ่านภาษาไทยออกค อ่านได้ เขียนได้ ตอนแรกๆ ผมจะเดาจากบริบทของฉาก ก็มีเข้าใจความหมายผิดเพี้ยนบ้าง บางทีผมทำการบ้านมา นึกว่าเราเข้าใจแล้ว เราก็เล่นตามที่เราเข้าใจ แต่ผิดหมดเลย ความเข้าใจของผมและความหมายจริงๆ มันต่างกัน ที่ผมไม่หาคนมาช่วยแปล เพราะผมเกรงใจทุกคนก็ทำงานของเขา แล้วผมก็อยากจะทำหน้าที่ของผมเอง อยากพัฒนาตัวเอง แต่พอเริ่มเข้าใจแล้วว่าเอาตัวเองไม่รอดหรอก ก็เริ่มถามคุณป้า ถามผู้กำกับและนักแสดงคนอื่นมากขึ้น ก็เลยพัฒนาไปได้
ผมอยากขอบคุณทุกคนที่อดทนกับผม มีหลายวันที่ผมรู้เลยว่าเราอาจจะหลายเทคเพราะผม หรืออาจจะเล่นไม่ได้เท่าที่เขาวางไว้ ก็ต้องค่อยๆ ไปด้วยกัน ค่อยๆ ทำงานเป็นทีมเวิร์กกันครับ แล้วบางทีผมก็ลืมบท บางทีก็เข้าใจผิด บางทีก็มาแบบไม่ได้เตรียมในสิ่งที่เราควรจะทำ เพราะตอนนั้นผมยังไม่รู้วิธีการทำการบ้านของนักแสดง ยังไม่ค่อยเข้าใจซีรีส์ คือใช้คำว่าทนเลยครับ
คือถ้าผมได้ยินคำว่าผ่าน ผมดีใจแล้ว (ยิ้ม) แต่ตอนท้ายๆ ผู้จัด ผู้กำกับก็มีชม ผมจำได้เลยมีอยู่วันหนึ่ง พี่เหมี่ยว ปวันรัตน์ พูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษ บอกว่าเขายินดีและมีความสุขมาก ที่ได้เห็นการพัฒนาของผมในการแสดง ซึ่งมันรู้สึกอิน เพราะส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยได้รับคำชม ก็คือถ้าเขาชมเมื่อไหร่ มันจะได้ฟีลลิ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ กำลังใจมาเลย แล้วก็ทำให้ผมมีความสุข
ผมยอมรับว่าสิ่งที่ผมกังวลคือภาษา ถ้าพูดเพี้ยน ก็จะเพี้ยนไปท้้งวัน คือทุกคนซัพพอร์ตผม แต่กดดันตัวเอง เพราะเราอยากทำให้ดี กลับบ้านไปก็เฟลเยอะอยู่ แต่มันก็มีอิมแพคกับผมนะ ทำให้ผมตั้งใจทำการบ้านมากขึ้น ทำให้รู้ว่าการที่เราคิดกับเรื่องที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้ เรามูฟออนดีกว่า”
แจ้งเกิดดาวดวงใหม่วงการบันเทิงไทย
“ผมว่าตั้งแต่เริ่มถ่าย จนถ่ายจบผมก็เปลี่ยนไปเยอะ การที่ได้มาทำงานจริงๆ ทำให้ผมเข้าใจว่าความสม่ำเสมอคืออะไร ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจตัวเองมากขึ้นด้วย เพราะการอยู่ในวงการบันเทิงต้องเจอคนเยอะ ต้องสร้างความสุขให้หลายๆ คน มันก็เป็นพลังบวกที่ผมได้รับมาจากการทำงานครับ ด้วยความผมเริ่มต้นจากศูนย์ ติดลบหลายอย่าง พอผลงานออกมา ผมภูมิใจมาก แต่เวลาเห็นหน้าตัวเองก็จะมีความเขินนิดหนึ่งนะครับ (หัวเราะ) ผมรู้ว่าผมทำได้ดีกว่านั้น แต่มันก็พูดแบบนี้ไม่ได้ เพราะในโมเมนต์นั้นเราก็ทำเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เราทำได้แล้ว
ชีวิตก็เปลี่ยนครับ มีคนรู้จักมากขึ้น ผมไปซื้อข้าวที่ห้าง มีคนขอถ่ายรูปผม ครั้งแรกเลยครับ ผมก็ทำตัวไม่ค่อยถูก ถือข้าวอยู่ แล้วบอกอ๋ อ...ได้ครับ (หัวเราะ) เขาถามว่า เทศน์ ที่เล่นเป็น รณจักร ใช่ไหม ก็บอกใช่ครับๆ ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ ผมก็ครับๆ ได้ครับ ก็ดีครับ ไม่ได้เขิน แต่คือถ้าเป็นตัวผมเอง ถ้ามีคนเดินเข้ามาหาผม ผมก็จะชวนคุยปกติ แต่ผมไม่รู้ว่าถ้าเราเป็นนักแสดง เราควรคุยแบบจริงจังหรือเปล่า หรือเราควรจะแค่ถ่ายรูปแล้วขอบคุณ ก็ยังต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ครับ ยังไงก็ฝากติดตามละครและผลงานต่อๆ ไปของผมด้วยนะครับ”
มุมมองวงการบันเทิงไทย-นักแสดง
“ตอนเด็กๆ ผมก็ชอบการแสดง เริ่มจากการเล่นละครเวทีที่โรงเรียน แล้วผมก็เห็นว่าถ้าอยู่เมืองไทย แล้วอยากเป็นนักแสดง ก็ต้องอยู่ในวงการบันเทิงไทย ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นแบบไหน ผมก็แค่เล่นโฆษณาไป ทำงานนายแบบไป พอมีโอกาสมาแคสติ้งละคร ก็พยายามทำ ไม่ได้คิดว่าวงการมันเป็นยังไงโดยรวม เพราะผมรู้สึกว่าคิดไปก็ไม่มีประโยชน์เลย มันเป็นอะไรที่เราคอนโทรลไม่ได้ ตอนนั้นผมมีความคิดว่าอยากลองทำการแสดง แต่มันไม่ใช่ว่าผมอยากจะเข้าวงการ ผมแค่อยากทำการแสดงครับ แต่พอมีโอกาสจริงๆ ผมก็พร้อมเปิดรับและทำเต็มที่ แต่สิ่งที่กดดันผม จริงๆ แล้วคือฟีดแบคของคุณพ่อครับ เขาชอบดูหนัง แล้วเราก็จะคุยกันตลอด ว่าวันนี้เราทำอะไร ทำงานเป็นยังไงบ้าง ผมก็แค่อยากให้คุณพ่อชอบครับ ที่ผมทำออกมา ซึ่งสุดท้ายเขาก็ชอบ
ผมพอใจกับเรตติ้งที่ออกมา ผมอะไรก็ได้ คือก็มีความคาดหวังนิดหนึ่ง แต่ถ้ามีมากไป คือเราทำอะไรไม่ได้ เราไม่รู้ว่าคนดูจะชอบหรือไม่ชอบ แล้วพอเราไปคาดหวังกับสิ่งนั้นมากไป ก็จะทำให้เราเครียดและกังวล ผมก็แค่ดูว่าโอเค เราเล่นได้ดีหรือเปล่า แล้วในส่วนหน้าที่ของผม ผมปรับอะไรได้ไหม ถ้าปรับได้ก็ลองไปปรับดู ถ้าไม่ได้ก็ปล่อยมัน พอฟีดแบคก็ดีใจมากๆ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามจนถึงตอนจบเลยนะครับ”
ชีวิตวัยเด็กก่อนมาปักหลักที่ไทย
“ก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตที่ต่างประเทศมาตลอด ก็ดีครับ ผมเกิดที่ ดับลิน (Dublin) ประเทศไอร์แลนด์ แล้วก็อยู่ที่โน่นประมาณ แล้วก็ย้ายไปอยู่อังกฤษ ย้ายไปอยู่ฮ่องกง แล้วก็ย้ายมาไทย วัฒนธรรมมันก็เปลี่ยนครับ เพราะอังกฤษก็จะอยู่กับครอบครัวของคุณพ่อ แล้วก็โตที่โน่น ภาษาอังกฤษเลยเป็นภาษาแรกของผม แต่ตอนนั้นก็เด็กอยู่ครับ จริงๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ก็จำได้ว่ามีความสุขมากๆ ชอบที่โน่นมากๆ ครับ แล้วก็ย้ายไปอยู่ฮ่องกงตามงานของคุณพ่อ ซึ่งก็อยู่โรงเรียนอินเตอร์ เขาก็จะสอนภาษาอังกฤษ แล้วก็คบเพื่อนฝรั่งกันหมด อยู่ในสังคมแบบนั้น
พอมาอยู่ไทยจริงๆ ไม่ได้ Culture Shock มากขนาดนั้น เพราะกลับไทยทุกซัมเมอร์อยู่แล้ว มากับคุณแม่ ก็จะชินกับอากาศร้อนมากๆ ชินกับอาหาร แต่พอมาใช้ภาษาไทยจริงๆ ก็คือตอนออกมาทำงานนี่แหละครับ เพราะอยู่ไทยก็เรียนอินเตอร์ เขาห้ามพูดภาษาไทย บังคับให้พูดอังกฤษกัน แล้วก็มีสอนภาษาไทยแค่อาทิตย์ละคาบ ซึ่งคาบนั้นผมก็ใช้ Google Translate ไปทั้งหมด ตอนนี้ถ้าให้ผมกลับไปนั่งอยู่ในห้องนั้น ผมอยากบอกตัวเองว่าเรียนเถอะ ตอนนั้นไม่นึกว่าจะได้ใช้ ชีวิตประจำวันไม่ได้พูดภาษาไทยเลยครับ เพราะคุณแม่พูดกับผมเป็นภาษาไทย แต่ผมตอบเป็นภาษาอังกฤษ มันถนัดไง คิดเลยว่าตอนนั้นน่าจะตั้งใจเรียน (หัวเราะ)”
ที่มาชื่อ “เทศน์” ความหมายดี
“จริงๆ คุณแม่ตั้งเป็นชื่อที่มีความหมายทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ภาษาอังกฤษผมชื่อ Tate แปลว่า ‘คนที่มีความสุข’ แล้ว เทศน์ ก็คือพระเทศน์ให้ความรู้ ให้พร แล้วผมชอบมาก”
คุณพ่อแฟนคลับเบอร์หนึ่ง!
“ถึงแม้คุณพ่อผมไม่เข้าใจภาษาไทย แต่คุณพ่อก็คอยซัพพอร์ตผม จริงๆแล้วคุณพ่อผมชอบดูซีรีส์ ชอบดูหนังฝรั่ง เป็นแฟนของนักแสดงหลายคน เขาก็อยากให้ลูกแสดงแสดงออกมาแล้วดูดี พอเขาเห็นผลงานของเราออกมาดีก็ดีใจและภูมิใจมาก ผมก็อยากให้เขารู้ว่าผมทำอะไรถึงแม้ว่าเขาไม่เข้าใจ ก็อยากจะอัปเดตเขาไปเรื่อยๆ ฟีดแบคจากคุณพ่อ อย่างแรกเลยคือภาพสวยมาก แล้วก็มีชมผมว่าเล่นดูธรรมชาติอยู่นะ บางฉากก็ธรรมชาติ บางฉากก็ เอ๊ะผู้ชายคนนี้เป็นอะไร (หัวเราะ) มอเตอร์ไซด์เท่มาก ชมทุกอย่างยกเว้นการแสดง (หัวเราะ) ก็เป็นฟีดแบคที่โอเค ผมเองก็ภูมิใจกับใจพิสุทธิ์ทุกอย่าง ผมรู้ว่าเราใส่ใจกับมัน 100% ถามว่าภูมิใจในตัวเองหรือยัง ก็ภูมิใจครับ แต่รู้ว่ายังมีจุดที่ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ครับ รู้ว่ายังไม่ถึงจุดที่เราต้องการ 100% มีอะไรที่เราพัฒนาไปได้อีกเยอะครับ แล้วพี่อุ้มภูมิใจไหมครับ“
เปิดสเปกสาว
“ผมยังไงก็ได้ครับ หน้าตายังไงก็ได้ครับ ผมแค่ขอให้เขาเพิ่มความสุขในชีวิตผม แล้วก็เป็นคนที่นิสัยดี เป็นคนตลกด้วยครับ (ชอบไปจีบหรือโดนจีบ?) ยังไงก็ได้ครับ คือถ้ามันจะเกิดขึ้น มันก็จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติครับ ถามสายฝอหรือสาวไทย ผมยังไงก็ได้ ตอนนี้โสด ส่วนเรื่องมุมมองความรัก ผมว่าความรักมันมีหลายแบบครับ มีความรักแบบเพื่อน แบบครอบครัว แบบแฟน ก็พยายามหาความรักในทุกๆ รูปแบบให้มันได้ครบ
ถามว่าอยากมีแฟนไหมเหรอครับ สำหรับผมตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีนะครับ แต่ไม่ได้เป็นเป้าหมายของผมในช่วงเวลานี้ ตอนนี้มีเป้าหมายเป็นเรื่องงาน แล้วผมก็ไม่ได้เป็นคนคลั่งรักนะ ผมว่าถ้าคลั่งรักมากไป เขาก็จะวิ่งหนี มันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน มันต้องเป็นทีมเวิร์ก ให้มันเรียลๆ (ยิ้ม)”