มังกรมีจริงหรือไม่ และทำไมอาจไม่เป็นอย่างที่คุณคิด
ภาพวาดชื่อ "นักบุญจอร์จและมังกร" โดยเปาโล อุชเชลโล (ค.ศ. 1397-1475) จิตรกรชาวอิตาลีและนักคณิตศาสตร์
เรื่องเล่าเกี่ยวกับมังกรมีอายุย้อนไปหลายพันปีก่อน โดยปรากฏในตำนานของชาวสุเมเรียนในยุคเมโสโปเตเมีย ต่อมาก็เป็นปรัมปราจากประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย อียิปต์ กรีซ และอังกฤษ ทุกวันนี้เราพบเห็นมังกรในหนังสือ ภาพยนตร์ รายการทีวี หรือแม้แต่ธงชาติ
อาทิ ธงชาติเวลส์มีมังกรแดงแห่งเวลลส์ หรือ "y Ddraig Goch" ในภาษาเวลส์ ซึ่งเป็นมังกรตัวสีแดงและมีปีกขนาดใหญ่อยู่บนหลัง ขณะที่ธงชาติภูฏานมีมังกรแห่งสายฟ้า ลักษณะคล้ายงู ซึ่งถูกเรียกว่า ดรุก (Druk) ในภาษาภูฏาน แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากสัตว์จริง ๆ หรือมังกรนั้นเป็นเพียงแค่สัตว์ในจินตนาการของเราเท่านั้น
มังกรมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงเรื่องแฟนตาซี ?
เรามีสัตว์มากมายที่มีคำว่า “มังกร” อยู่ในชื่อ แต่สำหรับมังกรพ่นไฟเป็นแค่สัตว์ในจินตนาการเท่านั้น นอกจากการแสดงพ่นไฟของมนุษย์ ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในอาณาจักรสัตว์ที่สามารถพ่นไฟได้
อย่างไรก็ตาม มีแมลงชนิดหนึ่งที่ใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตดังกล่าว นั้นคือ ด้วงตด (Bombardier beetles) ที่พ่นละอองสเปรย์ออกมาจากก้นของมันเพื่อหลบหนีผู้ล่า มันผลิตสารเคมีที่เป็นส่วนผสมระหว่างไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และไฮโดรควิโนน ซึ่งเมื่อนำมารวมกันจะทำให้เกิดละอองสเปรย์ที่มีร้อนสูงเกือบ 100 องศาเซลเซียส
มันเป็นกลอุบายทางวิวัฒนาการที่เหมาะเจาะ แม้ไม่มีการบันทึกไว้ว่าด้วงตดเผาปราสาทหรือละลายกำแพงเมืองได้ แต่มันก็ช่วงทำให้แนวคิดเรื่องมังกรไม่ได้ดูเหลวไหลไปทั้งหมด
ด้วงตดจะพ่นเบนโซควิโนนซึ่งเป็นของเหลวร้อนเดือดเข้าไปยังตาของผู้โจมตี
“เมื่อด้วงถูกคุกคาม มันจะใส่ส่วนผสม [ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และไฮโดรควิโนน] เข้าไปในช่องแห่งการเผาไหม้ [ช่องท้อง] จากนั้นเอนไซม์จะกระตุ้นให้สารเคมีทำปฏิกิริยากัน กลายเป็นสารพิษที่เรียกว่าเบนโซควิโนน จากนั้นมันจะพ่นของเหลวร้อนเดือดชนิดนี้เข้าไปยังดวงตาของผู้โจมตี หากคุณคิดจากแง่นี้ การผลิตไฟก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ดร.เฮสรี กี นักชีววิทยาวิวัฒนการ บอกกับบีบีซีเมื่อปี 2022
กีลองนำสิ่งที่เห็นในด้วงตด มาลองคิดถึงความเป็นไปได้หากมีมังกรพ่นไฟอยู่ในธรรมชาติจริง โดยจากทฤษฎีของเขาพบว่าสัตว์อาจผลิตและขับสารที่มีคุณสมบัติติดไฟสูงชื่อว่า ไดเอทิลอีเทอร์ ออกมาได้
“มันติดไฟได้ไวมาก จนมังกรสามารถพ่นอีเธอร์เหลวผ่านฟันของมัน และระเบิดออกมาเป็นเปลวไฟ” กี กล่าว
มังกรบินมีอยู่จริงหรือไม่ ?
มีกลุ่มของกิ้งก่าที่ถูกตั้งชื่อตามมังกรและมีความสามารถในการบิน กิ้งก่าบิน หรือมังกรบิน ในสกุล เดรโก (Draco) มักร่อนไปตามป่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียโดยใช้แผ่นหนังบาง ๆ ที่ทำหน้าที่เหมือนปีก
กิ้งก่าเหล่านี้ไม่ได้กระพือปีกเพื่อรักษาการบินเหมือนนกหรือมังกรในซีรีส์เรื่อง เกมส์ ออฟ โธรนส์ (Game of Thrones) หรือ เฮาส์ ออฟ เดอะ ดรากอน (House of the Dragon) แต่มันใช้สำหรับร่อนจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง โดยนักวิจัยสังเกตเห็นว่ากิ้งก่าเดรโกเหล่านั้นใช้วิธีนี้และทำระยะทางในแนวนอนได้ 26 เมตร ซึ่งถือว่ายาวมาก หากเทียบกับขนาดตัวของพวกมันที่ยาวประมาณ 20 เซนติเมตรเท่านั้น
กิ้งก่าบินที่พบในอินเดีย
ประเภทของมังกร
มีสัตว์มากกว่า 40 สายพันธุ์ในสกุลเดรโก รวมถึงกิ้งก่าอีกหลายชนิดที่มีคำว่า “มังกร (Dragon)” ในชื่อสามัญ แต่ก็ไม่มีกิ้งก่าตัวใดสามารถพ่นไฟได้ แม้พวกมันจะมีรูปร่างคล้ายมังกร แต่มีขนาดตัวที่เล็กกว่า
ยกตัวอย่างเช่น มังกรเคราจากออสเตรเลียนั้นหากฟังจากชื่อเหมือนมันจะมีขนาดใหญ่มหึมา ทว่าความจริงแล้วมันมีขนาดตัวยาวเพียง 45 เซนติเมตรเท่านั้น และเป็นหนึ่งในสัตว์เลื้อยคลานที่ได้รับความนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงมากที่สุด
“มังกร” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสัตว์คือมังกรโคโมโดจากอินโดนีเซีย โดยสัตว์ประหลาดกินเนื้อตัวนี้มีความยาวมากกว่า 3 เมตร และหนักถึง 166 กิโลกรัม ทำให้มันเป็นกิ้งก่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ มังกรโคโมโดยังมีฟันหยักแหลมคมขนาดยักษ์ ลิ้นแฉกยาว และพิษจากการกัดที่ร้ายแรง
ฟอสซิลมังกร
แรดขน (Coelodonta antiquitatis)
ผู้คนในเอเชียและยุโรปมีประวัติศาสตร์ที่เข้าใจผิดว่าพบฟอสซิลมังกร ยกตัวอย่างเช่น หัวกะโหลกที่เคยจัดแสดงในศาลากลางเมืองคลาเกินฟวร์ท ประเทศออสเตรีย เคยถูกเล่าต่อกันว่ามันได้มาจากการสังหารมังกรก่อนที่เมืองจะถูกสร้างขึ้นราวปี 1520 แต่ภายหลังพบว่ามันคือหัวกะโหลกของแรดขน (Coelodonta antiquitatis) ซึ่งสูญพันธุ์จากโลกนี้ไปนานแล้ว
ยังพบมังกรหลากหลายชนิดที่ปรากฏในต้นฉบับยุคกลาง (Mediaeval manuscripts) พวกมันก็มีความโดดเด่นในตำนาน จนนักธรรมชาติวิทยาจากหลายศตวรรษก่อนเชื่อว่าพวกมันมีตัวตนอยู่จริง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่สายพันธุ์ที่ไม่รู้จักในบันทึกซากดึกดำบรรพ์อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นมังกร
เช่นเดียวกับเดรโกหรือกิ้งก่าบางชนิดที่มีชีวิตอยู่ ในอดีตมีสัตว์บางสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่มันมีลักษณะคล้ายกับมังกร มันจึงถูกตั้งชื่อหรือมีชื่อเล่นว่ามังกร เช่น นักล่าฟอสซิลมือสมัครเล่นค้นพบ “มังกรทะเล” ยุคก่อนประวัติศาสตร์บนชายหาดดอร์เซ็ตในปี 2003 เป็นฟอสซิลความยาว 2 เมตรของอิกทิโอซอรัส
สัตว์เลื้อยคลานทะเลดังกล่าวมีชื่อเล่นว่ามังกรทะเล เนื่องจากมันมีตาและฟันที่ใหญ่โต แม้ว่าพวกมันดูเหมือนโลมามากกว่าสัตว์ในตำนานก็ตาม
มังกรจีน
ขณะที่มังกรอังกฤษพ่นไฟและต่อสู้กับเหล่าเทวดาได้ แต่มังกรของจีนกลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ ทะยานขึ้นไปบนฟ้าได้แม้ไร้ปีก พ่นลมพ่นไฟ และเป็นสัญลักษณ์ของโชคและพร
มาร์โค เมคคาราลี อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยคาตาเนียในอิตาลี บอกว่า มีทฤษฎีทางวิชาการจำนวนมากที่ว่าด้วยต้นกำเนิดของมังกรจีนในตำนาน เริ่มตั้งแต่แนวคิดที่ว่าพวกมันเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าตระกูลหรือ โทเทมิก (Totemic Symbols) ซึ่งถูกใช้โดยกลุ่มยุคก่อนประวัติศาสตร์บางกลุ่ม และบ้างบอกว่ามันได้แรงบันดาลใจมาจากงูหลามยักษ์ในมหาสมุทรหรืองูอื่น ๆ ที่มีอยู่จริง
แต่เมื่อสังคมชนเผ่ากลายเป็นสังคมชนชั้น เมคคาราลีบอกว่ามังกรได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้ปกครองในเวลาต่อมา
ทฤษฎีชุดที่สองเชื่อมโยงตำนานกับสายพันธุ์จระเข้ เช่น จระเข้จีนเมื่อ 7,000 ปีก่อน โดยพบว่าที่ราบลุ่มแม่น้ำแยงซีตอนล่างซึ่งน้ำท่วมถึงได้นั้นมีจระเข้ชุกชุม แต่เมื่อเกษตรกรเปลี่ยนพื้นที่ดังกล่าวเป็นไร่นา ก็ทำให้พวกมันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลก
นอกจากนี้ ยังมีอีกแนวคิดที่บอกว่า ภาพมังกรจีนอาจวิวัฒนาการมาจากความพยายามจำลองเสียงและรูปแบบของฟ้าร้องและฟ้าผ่า ซึ่งมีไว้เพื่อขอพรให้อากาศดี โดยเมคคาราลีบอกว่าสภาพอากาศถูกนำมาใช้โยงกับการหมุนตัวของมังกรที่ก่อให้เกิดพายุหมุนขนาดใหญ่
จากข้อมูลของเมคคาราลีชี้ให้เห็นว่ามังกรมีวิวัฒนาการมาจากการบูชาธรรมชาติ โดยพวกมันถูกผสมผสานระหว่างปรากฏการณ์ธรรมชาติเข้ากับรูปแบบของสัตว์หลากหลายชนิด