ทำไมเราจึงรักสัตว์ที่หน้าตาดูน่าเกลียด
สัตว์หน้าตาน่าเกลียดมักมีลักษณะเกินจริงที่พบในเด็กทารกด้วย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันไปกระตุ้นสัญชาตญาณในการปกป้องของเรา
สุนัขหน้าตาน่าเกลียดและสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ที่ดูไม่น่าดึงดูดเท่าไรนัก ดูเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากความน่าพึงใจของเรา แต่ทำไมเราจึงตกหลุกรักสัตว์พวกนี้ มันเกิดอะไรขึ้น ?
ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ในเมืองเปตาลูมา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ จะมีการจัดประกวดสุนัขที่น่าเกลียดที่สุดในโลก กรรมการจะพิจารณาจากจมูกที่แบนราบ ฟันเก ตาโปน หนวดที่ยุ่งเหยิง เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะเป็นสุนัขที่น่าเกลียดที่สุดในโลก
ในทุก ๆ ปี เหล่าสุนัขที่มีคุณสมบัติในการได้รับรางวัลอันทรงเกียรติที่ดูน่าสงสัยนี้ได้ละลายใจคนรักสัตว์ทั่วโลก ภาพที่ไม่ได้ถูกแต่งเติมของสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ยังเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้กลายเป็นกระแสไวรัลได้ทางอินเทอร์เน็ต
เหตุใดเราจึงพบว่าสัตว์ที่น่าเกลียดนั้นมีความน่าดึงดูดใจยิ่งนัก และอะไรทำให้สัตว์หน้าตาแปลก ๆ ดูน่ารักอย่างยิ่ง
คำตอบของเรื่องนี้ คือ วิวัฒนาการมีบทบาทสำคัญ
คอนราด ลอเรนซ์ นักสัตววิทยาชาวออสเตรีย กล่าวว่า มนุษย์มีแรงดึงดูดต่อลักษณะของเด็กทารก อย่างเช่น ดวงตากลมโต หัวโต และร่างกายนุ่มนิ่ม แรงดึงดูดแบบนี้เป็นการปรับตัวเชิงวิวัฒนาการที่จะทำให้แน่ใจว่าผู้ใหญ่จะใส่ใจดูแลทายาทลูกหลานของตัวเอง และเป็นการรับประกันการอยู่รอดของสายพันธุ์นั้น ๆ โดยลอเรนซ์ ได้เรียกลักษณะของการเอ็นดูเด็กทารกนี้ว่า "baby schema" เมื่อปี 1943
สัตว์ที่หน้าตาประหลาด ๆ อย่าง บล็อบฟิช, สุนัขพันธุ์ปั๊ก, อาย-อาย (สัตว์คล้าย ๆ ตัวลีเมอร์) และบูลด็อก ล้วนมีคุณลักษณะแบบทารกที่ว่านี้ ซึ่งมันกระตุ้นการตอบสนองด้วยความรักในหมู่มนุษย์ รวมถึงสัญชาตญาณโดยกำเนิดในการเลี้ยงดูและปกป้อง
ในทุก ๆ ปี กรรมการจะตัดสินสัตว์ที่เป็นผู้ชนะ "สุนัขที่น่าเกลียดที่สุดในโลก" ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ แล้วเหตุใดมนุษย์เราจึงมีจุดอ่อนที่ไปตกหลุมรักสัตว์ที่ไม่สวยงามเหล่านี้
มาร์ธา โบร์กี นักวิจัยจากสถาบัน Istituto Superiore di Sanità ในกรุงโรมของอิตาลี ซึ่งศึกษาความเชื่อมโยงของลักษณะของทารกที่มีต่อปฏิกิริยาระหว่างคนและสัตว์ กล่าวว่า ลักษณะที่ดูเป็นเด็กทารกเหล่านี้ ทำให้พฤติกรรมอยากปกป้องใครสักคนมีเพิ่มขึ้น รวมทั้งการให้ความสนอกสนใจ ความปรารถนาที่จะใส่ใจดูแล และลด "โอกาสที่จะแสดงความก้าวร้าวต่อทารก" ด้วย
"ส่วนในมนุษย์ ซึ่งเด็กต้องพึ่งพาผู้ดูแลเพื่อการยังชีพและการปกป้องนั้น การตอบสนองเช่นนี้มีความชัดเจนว่า มีส่วนในการเพิ่มโอกาสการอยู่รอดของลูกหลาน" นักวิจัยกล่าว
งานวิจัยในปี 2014 ของโบร์กีและนักวิจัยคนอื่น ๆ พบว่าแนวคิดเรื่อง "ความน่ารัก" เป็นสัญชาตญาณที่มีมาโดยกำเนิดและพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ช่วงอายุน้อย โดยเด็กอายุราว 3 ขวบ จะแสดงออกถึงความชอบที่ชัดเจนต่อสัตว์และมนุษย์ที่มีดวงตาขนาดใหญ่ จมูกแป้น และใบหน้าทรงกลม
"เราพบว่าการตอบสนองที่แสดงความสนใจต่อลักษณะใบหน้าเด็กในสุนัขและแมว เกิดขึ้นในช่วงพัฒนาการระยะแรกเริ่มของวัยเด็ก" โบร์กี กล่าว
กลุ่มนักวิจัยวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของดวงตาเด็กตั้งแต่อายุ 3-6 ขวบ และพบว่าพวกเขาให้ความสนใจมากขึ้น เมื่อมองดูรูปภาพของสุนัข แมว และมนุษย์ที่ถูกตกแต่งภาพทางดิจิทัลให้ดูเด็กกว่าความเป็นจริง
พวกเขายังให้เด็ก ๆ ที่ร่วมวิจัยจัดอันดับรูปภาพโดยแบ่งเป็นระดับ 1-5 ซึ่ง 1 คือ "ไม่น่ารัก" และ 5 คือ "น่ารักมาก" ผลออกมาปรากฏว่าเด็ก ๆ ให้คะแนนรูปภาพใบหน้าที่มีลักษณะเด็กมากกว่า ได้แก่ ใบหน้าที่กลม มีหน้าผากสูง ตาใหญ่ และจมูกเล็ก
"เราพบว่าระดับของใบหน้าเด็กที่น่าเอ็นดูในสุนัขและแมว เป็นลักษณะที่สำคัญที่มีผลต่อ 'การรับรู้ความน่ารัก' ของเด็ก ๆ" โบร์กี หล่าว
สัตว์หน้าตาน่าเกลียดยังมีคุณค่าอื่น ๆ อีก สัตว์บางชนิดอย่างบล็อบฟิช หรือ ตุ่นหนูไร้ขน อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สุดขั้วซึ่งพวกมันสามารถปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง
นักวิทยาศาสตร์สนใจศึกษาสัตว์เหล่านี้เพื่อทำความเข้าใจว่าลักษณะทางชีววิทยาของพวกมันอาจให้ข้อมูลเชิงลึกชุดใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่การหาวิธีการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ อย่างเช่นมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเสื่อมของระบบประสาท
แม้สิ่งมีชีวิตน่าเกลียดจำนวนมากสามารถปรับตัวได้อย่างยอดเยี่ยมเพื่อดำรงชีวิตในธรรมชาติ และสร้างประโยชน์มหาศาลแก่ระบบนิเวศที่พวกมันอยู่ แต่พวกมันมักจะไม่ได้รับความสนใจเท่ากับสัตว์ที่ดูน่ารักน่ากอดที่มีมาแต่ไหนแต่ไร นี่อาจทำให้เกิดอคติที่ส่งผลให้การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับสายพันธุ์เหล่านี้ถูกมองข้ามไป
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่ทำให้เราหลงใหลสัตว์หน้าตาน่าเกลียดที่แสนน่ารัก
"สิ่งที่น่ารักน่าชังเป็นแฟชั่น" โรเวนา แพ็กเกอร์ อาจารย์ด้านพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงตามครัวเรือนและวิทยาศาสตร์สวัสดิภาพสัตว์แห่งราชวิทยาลัยสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยลอนดอน สหราชอาณาจักร ระบุ พร้อมบอกว่าบางส่วนเป็นผลมาจากสื่อสังคมออนไลน์ที่บรรดาคนดังและอินฟลูเอ็นเซอร์ (influencer) ต่างโชว์รูปสุนัขพันธุ์ปั๊กที่พวกเขาเลี้ยง หรือ เฟรนช์บูลด็อก บนอินสตาแกรม
อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลด้านสวัสดิภาพต่อการเลี้ยงสัตว์หน้าตาน่าเกลียดเหล่านี้เช่นกัน สัตวแพทย์ชี้ว่าไม่ควรเลี้ยงสุนัขหน้าสั้น (brachycephalic) เพราะพวกมันจะทุกข์ทรมานกับปัญหาสุขภาพที่รุนแรง สุนัขพันธุ์ปั๊กและเฟรนช์บูลด็อกซึ่งถูกผสมพันธุ์มา ต่างมีปัญหาเรื่องการหายใจที่ยากลำบาก การติดเชื้อผิวหนังเรื้อรัง และโรคเกี่ยวกับตา
งานศึกษาในปี 2022 สรุปผลวิจัยว่าไม่อาจถือว่าสุนัขพันธุ์ปั๊กเป็นสุนัขที่ปกติจากมุมมองด้านสุขภาพได้อีกต่อไป เพราะด้วยใบหน้าของมันที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพรุนแรง โดยในแต่ละปีพบว่าสุนัขพันธ์ุปั๊กในสหราชอาณาจักรเสี่ยงได้รับความทุกข์ทรมานจากปัญหาสุขภาพตั้งแต่ 1 โรคขึ้นไป เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ๆ
มีโอกาสเป็นโรคหรือป่วยด้วยโรคได้มากกว่าสุนัขพันธุ์อื่นเกือบจะสองเท่าในแต่ละปี
ในช่วงฤดูร้อน สุนัขพันธุ์ปั๊กยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นฮีทสโตรกหรือโรคลมแดด และพวกมันต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อควบคุมอุณหภูมิร่างกาย
"ถ้าคุณนึกถึงหมาป่า พวกมันมีจมูกที่ยาวมาก" แพ็กกอร์กล่าว "พวกมัน (หมาป่า) จะแลกเปลี่ยนความร้อนในร่างกายผ่านทางจมูก ซึ่งทำให้มันปรับอุณหภูมิในร่างกายได้ดี...และไม่มีเหงื่อออกเหมือนพวกเรา" แต่สุนัขพันธุ์ปั๊กมีรูจมูกที่เล็กมากและมีทางเดินหายใจที่เล็กแคบ ซึ่งทำให้ยากต่อการหายใจหรือทำให้ร่างกายเย็นลง เมื่ออุณหภูมิร่างกายร้อนขึ้น
ดังนั้น สุนัขพันธุ์ปั๊กจำนวนมากจึงส่งเสียงกรนหรือเสียงพ่นออกทางจมูก ซึ่งคนมักจะมองว่ามันเป็นสิ่งที่ "น่ารัก" และเป็นลักษณะเฉพาะของสัตว์พันธุ์นี้ แต่ความจริงแล้วนี่เป็นสัญญาณของทางเดินหายใจที่ติดขัด
แม้จะมีปัญหาสุขภาพมากมาย แต่สุนัขพันธุ์ปั๊กก็ยังได้รับความนิยมอย่างมาก ข้อมูลจากราชวิทยาลัยสัตวแพทย์พบว่า มีการจดทะเบียนสุนัขพันธุ์ปั๊กเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า ระหว่างปี 2005-2017 ที่เคนเนลคลับ สมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข ซึ่งเป็นศูนย์ขึ้นทะเบียนสุนัขระดับชาติของสหราชอาณาจักร
ส่วนสถิติของสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขที่สหรัฐฯ พบว่า สุนัขพันธุ์ปั๊กได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 35 จากทั้งหมด 280 สายพันธุ์ ขณะที่พันธุ์เฟรนช์บูลด็อก สุนัขสายพันธุ์หน้าสั้นอีกพันธุ์หนึ่ง ก็เป็นสุนัขที่ได้รับความนิยมที่สุดในสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2022
"มีอุปสรรคทางจิตวิทยาหลายอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่ยอมรับปัญหาสุขภาพของสุนัขพันธุ์หน้าสั้น" แพ็กเกอร์กล่าว
"คนชอบที่ปั๊กดูมีลักษณะตลก ๆ และเฉื่อยชามาก พวกเขาไม่ต้องการให้สุนัขปั๊กมีลักษณะที่ดีขึ้นด้วยการผสมกับสายพันธุ์อื่น พวกเขากังวลว่าสุนัขปั๊กเหล่านี้จะดูไม่เป็นหมาขี้เกียจที่ดูตลกแบบนี้อีกต่อไป แม้ว่าในความจริงแล้ว นี่เป็นการแสดงออกของโรคที่เรากำลังทำให้เกิดกับพวกมันด้วย"
นักวิชาการด้านสัตว์ กล่าวด้วยว่า การผสมพันธุ์สุนัขหน้าสั้นเข้ากับสายพันธุ์อื่นมีความสำคัญอย่างยิ่ง "เพราะนอกจากสุนัขพันธุ์หน้าสั้นจะมีลักษณะรูปร่างที่โดดเด่นแล้ว มันยังมีความหลากหลายทางพันธุกรรมต่ำมากด้วย"
ความหลากหลายทางพันธุกรรมมีความสำคัญ เนื่องจากหากไม่มีมัน โรคต่าง ๆ ที่เป็นอันตราย จะสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในประชากรสัตว์พันธุ์นั้น ๆ และท้ายที่สุดแล้วจะเป็นอันตรายต่อสายพันธุ์นั้น หรืออาจถึงขั้นสูญพันธุ์ได้
การวิเคราะห์สุนัขพันธุ์อิงลิชบูลด็อกจำนวน 102 ตัว เมื่อปี 2016 พบว่า พวกมันมีความหลากหลายทางพันธุกรรมต่ำมากทั้งจากสายพันธุกรรมจากฝั่งพ่อและฝั่งแม่ รวมถึงในส่วนของจีโนมที่ประกอบไปด้วยยีนที่ควบคุมการตอบสนองของภูมิคุ้มกันปกติ
แพ็กเกอร์ กล่าวว่า "บูลด็อกเริ่มมีลักษณะเป็นภาพล้อเลียนรูปร่างเดิมของพวกมันแล้ว" เธอกล่าวด้วยว่า "มีแนวโน้มอย่างมากที่ผู้คนนิยมเลี้ยงสุนัขที่มีผิวหนังย่นย้วยเกินจริง และมีตัวเท่ากับกระเป๋าขนาดเล็ก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลักษณะเหล่านี้สะท้อนความผิดปกติของกระดูกสันหลังเพราะกระดูกสันหลังของมันผิดรูป ซึ่งนั่นอาจนำไปสู่การเกิดโรคเสื่อมของระบบประสาทได้ทั้งสิ้น"
ดังนั้น แม้ว่าลักษณะตลก ๆ เช่น ตาโปน ๆ และใบหน้าย่น ๆ จะทำให้เรายิ้มได้ แต่เราอาจต้องพิจารณาใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับความหลงใหลของเราต่อสัตว์เลี้ยงที่มีลักษณะ "น่ารักน่าชัง" เหล่านี้
บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 23 มิ.ย. 2023