โบรกชี้แปลงโฉมไทยอีเอสจีใหม่สวยกว่าเดิม คาดนำวายุภักษ์มาใช้จริง ดันหุ้นบวกแน่
ภาพประกอบข่าว
โบรกชี้แปลงโฉมไทยอีเอสจีใหม่สวยกว่าเดิม คาดนำวายุภักษ์มาใช้จริง ดันหุ้นบวกแน่
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลนำโดยกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน ผ่านเครื่องมือกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (ไทยอีเอสจี) ที่เริ่มใช้เมื่อปี 2566 แต่จะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้จูงใจมากขึ้น หลักๆ ได้แก่ ลงทุนได้สูงถึงไม่เกิน 3 แสนบาท เดิม 1 แสนบาท ลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี (นับจากวันซื้อ) จากเดิม 8 ปี เลือกซื้อหุ้นเกี่ยวข้องกับอีเอสจีเป็นหลัก เพิ่ม Green Token เบื้องต้นประเมินว่าดีกว่าเงื่อนไขไทยอีเอสจีเดิม แต่ยังต้องติดตามเงื่อนไขชัดเจนที่จะนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในอีก 2 สัปดาห์นี้ ว่าเม็ดเงิน 3 แสนบาท จะให้ซื้อหุ้นไทยในสัดส่วนเท่าใด หากให้ซื้อตราสารหนี้ได้มากกว่า ผลก็จะไม่ได้ช่วยดันตลาดหุ้นไทยมากเท่าที่ควร
“ภาพจะเหมือนปี 2566 ที่คาดว่ากองทุนไทยอีเอสจี จะมีแรงซื้อหุ้นไทยเข้ามากว่า 1 หมื่นล้านบาท แต่เม็ดเงินจริงมีเพียง 5-6 พันล้านบาทเท่านั้น เพราะมีการซื้อผลิตภัณฑ์อื่นมากกว่า ทำให้ต้องดูเงื่อนไขตรงนี้ด้วย อาทิ หากจะซื้อสูงสุดที่ 3 แสนบาท ต้องแบ่งซื้อหุ้นไทย 1-2 แสนบาท ส่วนอีก 1 แสนบาท สามารถซื้อผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้ แบบนี้แรงบวกต่อตลาดหุ้นไทยจะชัดเจนขึ้นแน่นอน เพราะมีเม็ดเงินเข้าตลาดแน่ๆ โดยมีการประเมินว่าเม็ดเงิน 1 หมื่นล้านบาท จะดันดัชนีหุ้นได้ประมาณ 25-27 จุด แต่เรามีการประเมินไว้ว่าจะดันได้อยู่ประมาณ 10-15 จุดเท่านั้น ซึ่งส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าประเมินในช่วงใด โดยเราใช้ประเมินช่วงที่มีกองทุนแอลทีเอฟและเอสเอสเอฟ เฉลี่ยเข้าด้วยกัน แต่หากประเมินเพียงในช่วงแอลทีเอฟล้วนๆ ผลเชิงบวกต่อดัชนีก็อาจเยอะกว่า” นายณัฐพล กล่าว
นายณัฐพล กล่าวว่า ในส่วนของมาตรการดูแลควบคุมตลาดหุ้นไทย อาทิ การเพิ่มมาตรการกำกับการซื้อ-ขาย ที่ไม่เหมาะสม เปิดข้อมูลการซื้อขายที่ไม่เหมาะสมให้แก่สมาชิกทุกราย เริ่มใน 1 กรกฎาคมนี้ มาตรการการเพิ่ม Uptick (รายหลักทรัพย์) หรือการซื้อขายเท่าใดในราคาปิดล่าสุด ต้องตั้งซื้อที่ราคาสูงขึ้นอัพไปอีก 1 ระดับ ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ เพื่อลดความผันผวนที่ผิดปกติของราคาหลักทรัพย์ โดยให้ขายชอร์ต (ทุกหลักทรัพย์) น่าจะทำให้การชอร์ตเซลลดลง ซึ่งเมื่อมีการประกาศจะใช้ที่ผ่านมา เริ่มเห็นแล้วว่าแรงชอร์ตเซลลดลงในช่วงสัปดาห์นี้ ถือเป็นการจำกัดทางลงของดัชนี ส่วนทางขึ้นจะเปิดได้มากน้อยเท่าใด ขึ้นอยู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย
นายณัฐพล กล่าวว่า อีกเครื่องมือที่อยู่ในขั้นตอนการศึกษาว่าจะนำกลับมาใช้อีกครั้ง คือ กองทุนรวมวายุภักษ์ ภายใต้เงื่อนไขรัฐบาลต้องลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ 500,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนจากภาครัฐ 350,000 ล้านบาท ขายหน่วยลงทุนให้ประชาชน 150,000 ล้านบาท โดยจะให้ผลตอบแทนตามจริง การันตีขั้นต่ำ-ขั้นสูง 10 ปี และคืนเงินลงทุนก่อนผู้ถือหน่วยภาครัฐ โดยประเมินว่าหากนำมาใช้ใหม่ได้จริง จะเป็นบวกอย่างแน่นอน เนื่องจากรอบที่มีการใช้กองทุนรวมวายุภักษ์เข้ามาช่วยสนับสนุนหุ้นไทย เห็นได้ชัดมากว่าเมื่อมีกองทุนนี้แล้ว ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีที่สุด กว่า 15% ต่อปี จนมีการพูดกันในตลาดหุ้นไทยว่า กองทุนรวมวายุภักษ์ เป็นกองทุนพยุงหุ้นไทยอย่างแท้จริง ทำให้หากมีการนำกลับมาใช้ใหม่ จะมีผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยแน่นอน
นายณัฐพล กล่าวว่า ช่วงที่มีการใช้กองทุนรวมวายุภักษ์ ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาเป็น 100% จาก 300 จุด เป็น 700 จุด กองทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้ามาเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดหุ้นไทย และเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาล อาทิ รัฐวิสาหกิจบางรายต้องการเงินเพิ่มทุน ก็ไม่ต้องระดมทุนในตลาด แต่กองทุนรวมวายุภักษ์จะเข้าไปช่วยถือให้ ถือเป็นการเติมสภาพคล่องในช่วงนั้น ส่วนตอนนี้รูปแบบกองทุนอาจเปลี่ยนไป เพราะตอนที่ใช้ครั้งแรก ดัชนีหุ้นอยู่ในระดับต่ำ แต่ตอนนี้ดัชนีปรับขึ้นมาในระดับสูงแล้ว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : โบรกชี้แปลงโฉมไทยอีเอสจีใหม่สวยกว่าเดิม คาดนำวายุภักษ์มาใช้จริง ดันหุ้นบวกแน่
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th