ครม. “คิกออฟ” แก้รัฐธรรมนูญ เคาะทำประชามติ 3 รอบ เข้าคูหายกแรกภายใน ส.ค. 67
แกนนำพรรคร่วมฯ ยืนเคียงนายกฯ ในระหว่างแถลงข่าวภายหลังการประชุม ครม. 23 เม.ย.
รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน เคาะให้ทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 รอบ โดยประชาชนชาวไทยจะได้เข้าคูหายกแรกอย่างช้าภายในเดือน ส.ค. นี้
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (23 เม.ย.) มีมติเห็นชอบจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ตามข้อเสนอของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน
นายภูมิธรรมระบุก่อนหน้านี้ว่า การทำประชามติ 3 ครั้ง เป็นทางเลือกที่ “รอบคอบ” และ “ปลอดภัย” ที่สุด
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ ครม. จะส่งเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อจัดให้มีการออกเสียงประชามติต่อไป ซึ่งการทำประชามติครั้งแรกจะเกิดขึ้นก่อนมีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า การทำประชามติครั้งแรกต้องเกิดขึ้นภายใน 90-120 วันนับจากมีมติ ครม. คือ ไม่ก่อน 21 ก.ค. และไม่หลัง 21 ส.ค. โดยใช้งบประมาณ 3,200 ล้านบาท
ส่วนคำถามที่จะใช้สอบถามประชาชนคือ “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์”
“จากนี้ก็คิกออฟแล้ว 21 ก.ค.-21 ส.ค…. จากนั้นถึงจะตามด้วยการทำประชามติอีก 2 รอบ” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
หากการทำประชามติยกแรกผ่าน จะมีการทำประชามติอีก 2 ครั้งคือ ภายหลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ผ่านรัฐสภา และภายหลังการยกร่างธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) แล้วเสร็จ
การทำประชามติอย่างน้อย 2 ครั้ง เป็นเงื่อนไขบังคับตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564
การตัดสินใจให้ทำประชามติ 3 ครั้งของรัฐบาลนายเศรษฐา เกิดขึ้นภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเมื่อ 17 เม.ย. สั่งไม่รับคำร้องของประธานรัฐสภาไว้พิจารณาวินิจฉัยว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง และทำในขั้นตอนใด ก่อนเริ่มต้นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ท่ามกลางความเห็นต่างในหมู่นักการเมืองว่าต้องทำประชามติ 2 หรือ 3 ครั้งกันแน่
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ตัดสินใจไม่บรรจุร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ…. (แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) จำนวน 2 ฉบับ เสนอโดย สส. พรรคเพื่อไทย (พท.) กับเสนอโดย สส. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา โดยให้เหตุผลว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว “เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 จึงมิใช่ร่างแก้ไขเพิ่มเติม” หากบรรจุวาระจะขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ได้
แม้แกนนำรัฐบาลยืนยันว่า การเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการประชามติยกแรกเพราะไม่ต้องการให้ถูกมองว่า “เตะถ่วง” แต่ทว่าเมื่อยังไม่มีการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 ก็ทำให้เกิดความกังวลว่าความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 อาจต้องหยุดลงตั้งแต่การทำประชามติยกแรกหรือไม่ หากได้รับเสียงโหวตไม่เพียงพอตามเกณฑ์ขั้นต่ำของกฎหมาย
พ.ร.บ.ประชามติฉบับปัจจุบัน กำหนดให้การผ่านประชามติต้องอาศัยเสียงเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น (Double Majority) ชั้นแรก ต้องมีผู้ไปใช้สิทธิออกเสียงจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และชั้นที่สอง ต้องมีผู้โหวตเห็นด้วยจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้ไปใช้สิทธิออกเสียง
นายชูศักดิ์ ศิรินิล กับนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ยื่นร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ต่อประธานสภา เมื่อ 1 ก.พ.
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวภายหลังการประชุม ครม. ว่า ครม. เห็นควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประชามติ เพื่อให้กฎหมายดังกล่าวสามารถเป็นเครื่องมือทางประชาธิปไตย ส่งเสริมประชาชนแสดงเจตจำนงในเรื่องต่าง ๆ ได้โดยตรง
ปัจจุบันมีร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ 2 ฉบับที่เสนอโดยพรรค พท. และพรรค ก.ก. รอการบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระพิจารณาของสภา โดย ครม. ระบุว่า ในการแก้ไขกฎหมายประชามติ จะ “ใช้ร่างที่มีการเสนอที่สภาไว้แล้วเป็นตัวตั้ง”
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ก.ก. ให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรร่วมมือกับฝ่ายค้านเปิดประชุมสภาวิสามัญเพื่อเร่งแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ เพราะปัจจุบันพรรค พท. และพรรค ก.ก. เห็นตรงกันว่า กฎหมายมีข้อกังวลเรื่องกติกาเสียงเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น ระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในคำถามทำประชามติ ถ้าสามารถเปิดสมัยประชุมวิสามัญขึ้นได้ จะได้เร่งพิจารณาแก้ไขกฎหมายได้ทันกรอบการพิจารณาประชามติ