[บทความ] ทำไมภาพยนตร์และ ซีรีส์จากวิดีโอเกมถึงปังในยุคนี้
แวดวงภาพยนตร์กับวงการเกมอยู่คู่กันมานานแล้ว และในยุคก่อนหากจะพูดถึง “หนังจากเกม” ภาพจำดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก เพราะเนื่องจากส่วนใหญ่จะทำออกมาไม่มีคุณภาพและไม่ค่อยทำเงิน แต่ก็มีความพยายามจากค่ายหนังที่จะหยิบเอาเกมดังมาสร้างอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
โดยเกมแรกที่ถูกดัดแปลงมาเป็นหนังคือ ‘Super Mario Bros.’ ที่ฉายในปี 1993 ที่ย่ำแย่ทั้งเสียงวิจารณ์ และรายได้ก็ไม่ปัง แถมยังเป็นฝันร้ายของนักแสดงที่ร่วมงานจนเคยมีบางรายออกมาบอกว่ามันคือผลงานที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพของเขาเลย ผู้สร้างเองก็โดนสาปส่งจนแทบไม่มีงานในวงการภาพยนตร์อีกเลย เรียกว่าในอดีตมันถูกเรียกว่าคำสาปของวงการภาพยนตร์กันเลย
แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาหนังรวมทั้งซีรีส์จากเกมเริ่มมีคุณภาพสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังทำเงินถล่มทลาย เช่นภาพยนตร์การ์ตูน ‘The Super Mario Bros. Movie’ ทำเงินไปมากถึง 1,400 ล้านเหรียญ หรือซีรีส์อย่าง ‘Fallout’ หรือ ‘The Last of Us’ ที่มียอดคนดูมหาศาลและได้รับเสียววิจารณ์ในแง่บวกอย่างมากแล้วทำไมอยู่ดี ๆ มันถึงทำเงินมากมายขนาดนี้ ? วันนี้ทีมงาน Beartai มาลองวิเคราะห์กัน
ผู้สร้างเริ่มจับทางถูก
ปัญหาของการสร้างหนังจากเกมสมัยก่อนคือ ผู้สร้างภาพยนตร์ไม่เข้าใจและไม่มีความรู้เกี่ยวกับเกมที่จะสร้าง เพราะในอดีตไม่มีใครเปิดทางมาก่อนและเป็นสิ่งใหม่ในเวลานั้น ทำให้การดัดแปลงสิ่งแปลกใหม่ดูยากมาก อีกทั้งเกมในยุค 80S-90S มันมีความเป็นแฟนตาซีสูงมากทำให้การนำมาปรับเปลี่ยนมันไม่ง่ายนัก
ยกตัวอย่างง่าย ๆ การที่ผู้สร้างตีความหนัง Mario ฉบับคนแสดงให้เปลี่ยนจากอาณาจักรเห็ดที่เป็นโลกแฟนตาซี เปลี่ยนมาเป็นโลกใต้ดินที่มีไดโนเสาร์กลายพันธุ์ยึดครองและเปลี่ยนธีมเป็นหนังวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่แฟน ๆ เห็นในวิดีโอเกม และเปลี่ยนลุงหนวด Mario เป็นชายวัยกลางคนหัวล้าน หรือ Luigi เป็นคนลาติน เรียกว่าหากไม่มีชื่อหนังบอกคงไม่รู้ว่ามันดัดแปลงจากเกมอะไร
แต่ช่วงหลังผู้สร้างเริ่มจังทางถูกแล้ว เพราะหนัง Mario ภาคล่าสุดเลือกที่จะสร้างเป็นการ์ตูนแทนคนแสดง เพราะผู้สร้างคิดว่ามันเหมาะกว่าที่จะเล่าเรื่องในโลกแฟนตาซี รวมทั้งฉาก, ตัวละคร, และเนื้อเรื่องก็เดินตามรอยเกมแบบไม่ต้องบอกว่ามันสร้างจากเกมอะไร ทำให้ไม่แปลกใจที่แฟนเกมจะชอบ แม้ว่าหากลงลึกไปในรายละเอียดแล้ว ‘The Super Mario Bros. Movie’ ก็ไม่ใช่หนังที่ดีอะไรมากมายแต่หากถูกใจเหมือนในเกมแฟน ๆ ก็พร้อมจะเข้าไปชม
อีกประเด็นที่ทำให้ดีขึ้นคือดราม่าหนังจากเกม ‘Sonic the Hedgehog’ ที่งานออกแบบตัวละครครั้งแรกเน้นความสมจริงจน Sonic ออกมาน่าเกลียด จนถูกเรียกว่า ‘Ugly Sonic’ จนถูกนำไปล้อเลียนกลายเป็น Meme ทำให้ผู้สร้างยอมรื้อตัวละครทำใหม่ทั้งหมดให้เหมือนกับเวอร์ชันเกมมากที่สุดแม้มันอาจจะไม่เข้ากับหนังคนแสดง แต่ผลออกมาดีเกินคาดเพราะหนังทำเงินมากพอจนมีการสร้างภาค 2 และตามมาด้วยภาค 3 ที่จะฉายในปี 2024 รวมทั้งมีการแยกออกมาทำซีรีส์ด้วย เรียกว่าการฟังแฟนเกมส่งผลดีกับหนังในทันที
เคารพต้นฉบับเพราะผู้กำกับเป็นแฟนเกมและผู้สร้างเกมลงมาคุมเอง
อีกเหตุผลที่ทำให้หนังจากเกมดูดีขึ้นากคือการเคารพต้นฉบับ ตามที่บอกไปข้างต้นแล้วว่าผู้สร้างจะไม่ฝืนยัดเยียดสิ่งแปลก ๆ ที่ไม่เข้ากับเกมเข้าไปโดยไม่จำเป็นแล้ว เช่น Fallout ที่แม้จะไม่ได้เดินเรื่องราวตามในเกม แต่โลกในซีรีส์เต็มไปด้วยสิ่งที่ผู้เล่นเคยเห็นในเกม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า, งานออกแบบฉากรวมทั้งอาวุธก็ล้วนมีอยู่ในเกม และบรรยากาศโลกล่มสลายก็ทำได้เหมือนถอดมาจากในเวอร์ชันเกม
นอกจากนี้อีกประเด็นที่ทำให้มันออกมาดีงามคือทีมงานเป็นแฟนตัวยงของวิดีโอเกม เพราะตามข้อมูลผู้กำกับซีรีส์ ‘Fallout’ อย่าง โจนาธาน โนแลน (Jonathan Nolan) เป็นแฟนตัวจริงของเวอร์ชันเกม ชนิดเล่นจนเสียการเสียงานมาแล้ว อีกทั้งยังได้ผู้สร้างเวอร์ชันวิดีโอเกมอย่าง ท็อดด์ ฮาวเวิร์ด (Todd Howard) มาคุมงานด้วยทำให้ไม่แปลกที่จะออกมาตรงกับเกม
สิ่งนี้เกิดขึ้นกับหนังและซีรีส์เรื่องอื่นด้วยเช่นกันอย่างซีรีส์ ‘The Last of US’ ที่ได้ นีล ดรักแมน (Neil Druckman) มากำกับเองเลย ทำให้มันเหมือนกลายเป็นส่วนขยายของเวอร์ชันเกมก็ว่าได้ และหนังทำเงิน ‘The Super Mario Bros. Movie’ ก็ได้ ชิเงรุ มิยาโมโตะ (Shigeru Miyamoto) บิดาแห่ง Mario มาเป็นโปรดิวเซอร์ร่วมด้วย โดยสิ่งนี้ไม่เคยเกิดในการสร้างหนังจากเกมในอดีตซึ่งที่ทีมงานสร้างหนังต้องทำเองทั้งหมดผู้สร้างเกมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
เกมทุกวันนี้เหมือนหนังทำให้ดัดแปลงง่าย
อีกสิ่งที่ทำให้การนำวิดีโอเกมมาสร้างเป็นหนังได้รับความนิยม เพราะมันง่ายที่จะดัดแปลงเพราะว่าทุกวันนี้เกมมันก็แทบจะกลายเป็นภาพยนตร์ที่ผู้เล่นสามารถบังคับตัวละครได้แล้ว และยังมีการเขียนเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยมมีความซับซ้อนมากกว่ายุคก่อน เช่น ‘The Last of US’ ที่มีเนื้อเรื่องที่หนักหน่วงแทบไม่ต่างจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ บวกกับกราฟิกที่สมจริงขึ้นทำให้การหยิบมาสร้างใหม่นั้นง่ายมาก
เพราะวัตถุดิบในการหยิบมาสานต่อมีคุณภาพสูงต่างจากเกมยุคก่อนที่เนื้อเรื่องแทบไม่มีอะไรให้นำเสนอ จนทำให้การดัดแปลงมันเหมือนการเปลี่ยนสื่อที่จะนำเสนอเท่านั้น อย่างไรก็ตามก็ยังมีบางเกมที่ยังไม่สามารถล้างคำสาปนี้ได้ เพราะหนังและซีรีส์ที่สร้างจากเกมในตำนานของ Capcom อย่าง ‘Resident Evil’ ที่ยังมีแนวทางการสร้างที่ขัดใจแฟนเกมและโดนสาปส่งอยู่ จนไม่รู้ว่าหากจะมีการสานต่อต้องให้ผู้สร้างเกมลงมาช่วยทำหรือไม่
แต่ที่แน่ ๆ ในอนาคตแฟนเกมน่าจะสบายใจได้ในระดับหนึ่งว่า ภาพยนตร์และซีรีส์ที่นำเกมมาดัดแปลง น่าจะออกมาดูดีกว่ายุคก่อนแน่ เพราะผู้สร้างเริ่มรู้แนวทางการทำออกมาให้ไม่ขัดใจแฟน ๆ และผู้สร้างเวอร์ชันวิดีโอเกมลงมาคุมงานด้วยตัวเองเลย ทำให้มันไม่น่าจะมีอะไรหลุดออกมาให้แฟน ๆ ปวดหัวเหมือนหนังจากเกมในอดีตแน่นอน