วงเมทัลสามสาวอินโดนีเซีย สวมฮิญาบร่วมเทศกาลดนตรีกลาสตันเบอรี
(จากซ้ายไปขวา) สิติ, มาร์สยา, และวิดิ ได้รับการสนับสนุนจากครูแนะแนวให้ปลดปล่อยอารมณ์ผ่านเสียงเพลง
เด็กสาวชาวอินโดนีเซียสามคน เริ่มเล่นดนตรีแนวเฮฟวีเมทัลตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปลาย แต่พวกเธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า สักวันหนึ่งจะได้มีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ในแวดวงบันเทิงให้กับประเทศชาติ ด้วยการเข้าร่วมแสดงในเทศกาลดนตรีระดับโลก “กลาสตันเบอรี” (Glastonbury) ที่สหราชอาณาจักร
วงดนตรี “วอยซ์ ออฟ บาเชพร็อต” (Voice of Baceprot) หรือ “วีโอบี” ที่สามสาวก่อตั้งขึ้น ได้รับเชิญให้เข้าร่วมแสดงในปีนี้ด้วย ซึ่งคำเชื้อเชิญดังกล่าวทำให้พวกเธอรู้สึกสับสนงงงวยอย่างยิ่งในตอนแรก “เพราะเรายังไม่รู้ว่า การเข้าร่วมเทศกาลดนตรีกลาสตันเบอรีน่าตื่นเต้นขนาดไหน เราไม่รู้ว่าขั้นตอนต่อไปจะต้องทำอะไรกันแน่” เฟิร์ดดา มาร์สยา กูร์เนีย นักร้องนำของวงวีโอบีกล่าว
ทั้งสามคนเริ่มรับรู้ถึงแรงกดดันมหาศาล หลังจากได้ทราบว่าพวกเธอจะเป็นวงดนตรีจากอินโดนีเซียวงแรก ที่ได้เล่นในเทศกาลดนตรีงานใหญ่ที่สุดของภูมิภาคยุโรปซึ่งจะจัดขึ้นเป็นเวลา 5 วัน โดยได้กระทบไหล่กับศิลปินดังระดับโลกอย่าง Coldplay และ Dua Lipa
สมาชิกของวงวีโอบี ซึ่งประกอบด้วยมาร์สยาที่เป็นนักร้องนำ รวมทั้งยูอิส สิติ ไอสยาห์ ซึ่งรับหน้าที่มือกลอง และวิดิ ราห์มาวาตี มือเบส จะขึ้นแสดงบนเวทีกลาสตันเบอรีในวันศุกร์ที่ 28 มิ.ย. โดยคำว่า “บาเชพร็อต” ที่เป็นส่วนหนึ่งของชื่อวงดนตรีนั้น มาจากภาษาซุนดาที่แปลว่า “เสียงรบกวน” เนื่องจากภาษาซุนดาเป็นหนึ่งในภาษาถิ่นของอินโดนีเซียที่มีผู้ใช้มากที่สุด
ในฐานะที่เป็นเพียงเด็กนักเรียนสาวมุสลิมจากหมู่บ้านแห่งเล็ก ๆ เมื่อสิบปีก่อน ปัจจุบันวงวีโอบีถือว่ามาไกลมาก หลังได้สร้างชื่อเสียงขึ้นสู่ระดับนานาชาติ ด้วยการยืนหยัดท้าทายบรรทัดฐานทางเพศและศาสนา ทั้งยังออกตระเวนทัวร์จัดการแสดงไปทั่วโลกทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ จนได้รับเสียงชื่นชมจากคนดังในวงการดนตรีเมทัลจำนวนไม่น้อย
ทอม โมเรลโล มือกีตาร์แห่งวง Rage Against the Machine บอกว่า “ผมดูวิดีโอบันทึกการแสดงของพวกเธอ โดยเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกติดกันถึงสิบรอบ มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งมาก” ส่วน Flea จากวง Red Hot Chilli Peppers ก็เคยเผยแพร่ข้อความทางทวิตเตอร์ว่า “ผมรู้สึกว่าทุกอย่างช่างลงตัวไปหมดกับวงวีโอบี”
หนึ่งสัปดาห์ก่อนการแสดงในเทศกาลดนตรีกลาสตันเบอรี สมาชิกวงวีโอบีซึ่งได้แก่มาร์สยาและสิติวัย 24 ปี รวมทั้งวิดิซึ่งมีอายุเพียง 23 ปี ได้ให้สัมภาษณ์กับบีบีซี โดยพวกเธอพูดถึงเส้นทางในวงการดนตรีที่ได้ร่วมฝ่าฟันมาด้วยกัน ตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่พลุ่งพล่านไปด้วยอารมณ์ร้อนของวัยรุ่น
วงดนตรีหญิงขบถ
สามสาวเติบโตขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แถบชนบท ที่เมืองสิงคะจายาในจังหวัดชวาตะวันตกของอินโดนีเซีย โดยมาร์สยากับสิติเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ชั้นประถม ก่อนที่จะได้รู้จักกับวิดิเมื่อขึ้นชั้นมัธยมต้น เนื่องจากพวกเธอมักจะถูกเรียกตัวมาที่ห้องของครูแนะแนวบ่อย ๆ เพื่อแก้ไข “พฤติกรรมดื้อรั้นไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่”
ไม่น่าเชื่อว่าในสถานที่แห่งนี้ พวกเธอกลับได้บ่มเพาะความรักที่มีต่อดนตรีเฮฟวีเมทัล และได้ผูกมิตรกับครูแนะแนวที่ต่อมาพวกเธอเรียกอย่างรักใคร่สนิทสนมว่า “พ่อเออร์ซา” (Abah Ersa)
“พวกเรามักจะฟังเพลงจากคอมพิวเตอร์แลปท็อปของพ่อเออร์ซา แต่ในเวลาที่ได้ฟังดนตรีเมทัล เรารู้สึกเหมือนว่าฮอร์โมนอะดรีนาลีนสูบฉีดไปทั่วตัว ทำให้เริ่มมีความคิดว่า มันคงจะเจ๋งดีไม่น้อยถ้าเราเล่นเพลงพวกนี้ได้” สิติเล่า
ด้านเออร์ซาซึ่งเป็นครูแนะแนวของพวกเธอบอกว่า ตอนนั้นเขาเห็นว่าสามสาวไม่ได้ดื้อรั้นเกเรในแบบเดียวกับวัยรุ่นทั่วไป ซึ่งมักจะใช้ยาเสพติดและก่อปัญหาต่าง ๆ แต่พวกเธอมักจะพูดคัดค้าน หรือแสดงการต่อต้านความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมากกว่า “พวกเธอต่อต้านระบบจนมักจะขัดแย้งกับครู ดังนั้นถ้อยคำที่พูดออกมา จึงฟังดูเหมือนกับการยั่วยุชวนทะเลาะ”
อย่างไรก็ตามในปี 2014 เออร์ซาได้เริ่มสนับสนุนให้สามสาวปลดปล่อย แสดงอารมณ์ที่เก็บกดไว้ออกมาผ่านการเล่นดนตรี โดยเขาสอนให้มาร์สยาเล่นกีตาร์ ฝึกให้วิดิเล่นเบส และสร้างกลองชุดขึ้นมาใช้งานชั่วคราวให้กับสิติ โดยรวบรวมวัสดุตามมีตามเกิดจากอุปกรณ์ที่วงโยธวาทิตของโรงเรียนทิ้งแล้ว
“เราปล่อยให้ความโกรธหลั่งไหลออกมากับเสียงเพลง เพราะไม่อยากจะมีปัญหาจากการไปทะเลาะวิวาทกับคนอื่น หากเราลุกขึ้นประท้วงต่อต้าน ปัญหาจะเกิดขึ้นทันที เพราะจะมีคนกล่าวหาว่าเราเป็นพวกหัวรุนแรง ในหมู่บ้านของเรา ผู้หญิงที่กล้าประท้วงจะถูกตราหน้าว่าเป็นบ้า” มาร์สยาซึ่งเป็นคนที่เปิดเผยและกล้าแสดงออกที่สุดในวงกล่าว
ในตอนนั้นการเล่นดนตรีเมทัลยังเป็นแรงจูงใจหลัก ที่ทำให้พวกเธอยังรู้สึกอยากไปโรงเรียนด้วย โดยมาร์สยากล่าวเสริมว่า “เราถูกสั่งสอนมาให้พยายามเรียนจนได้เกรดดี ๆ ให้ท่องจำ ให้เขียน ให้อ่านหนังสือมาก ๆ ซึ่งมันก็แค่นั้นเอง เราทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวันมานาน 12 ปี จนเบื่อเต็มที โชคดีที่ตอนนั้นยังมีดนตรีเข้ามาเป็นสิ่งใหม่ในชีวิต”
วงวีโอบีถือว่า “พ่อเออร์ซา” คือผู้ก่อตั้งวงตัวจริง เนื่องจากเขาเป็นคนแรกที่เผยแพร่ผลงานเพลงของพวกเธอบนเว็บไซต์ยูทิวบ์ ทำให้ปัจจุบันช่องของพวกเธอมีผู้รับชมที่เป็นสมาชิก 360,000 คน และมีผู้ติดตามถึง 230,000 ในอินสตาแกรม
ต้านทานเสียงวิพากษ์วิจารณ์
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม วงวีโอบีและดนตรีเมทัลกระชากใจของสามสาว ยังคงเป็นสิ่งขวางหูขวางตาคนจำนวนไม่น้อยในเมืองของเธอ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมหัวเก่าอนุรักษ์นิยม ครั้งหนึ่งมาร์สยาถึงกับถูกขว้างปาศีรษะด้วยก้อนหิน โดยมีกระดาษเขียนข้อความติดมากับหินนั้นด้วยว่า “หยุดเล่นดนตรีของซาตานซะ”
ประชากรส่วนใหญ่ถึง 87% ของอินโดนีเซียเป็นมุสลิม โดยจังหวัดชวาตะวันตกนั้นเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่นับถือศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด ทั้งยังมีบางนิกายในท้องถิ่นที่ห้ามการร้องเพลงและเล่นดนตรีอย่างสิ้นเชิง หลายคนยังมองว่า ภาพของหญิงมุสลิมที่สวมผ้าคลุมศีรษะหรือฮิญาบกับการเล่นดนตรีเมทัลนั้นไปด้วยกันไม่ได้ ทั้งยังดูเป็นการยั่วยุแบบหยามหมิ่นศาสนาอีกด้วย
มาร์สยาบอกกับบีบีซีแผนกภาษาอินโดนีเซีย เมื่อปี 2018 ว่า “บางคนถึงกับบอกว่า ให้ฉันถอดฮิญาบออกเสีย เพราะดนตรีที่เราเล่นไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นมุสลิมที่แท้จริง แต่ฉันว่านี่มันเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง เมทัลเป็นแค่ดนตรีแนวหนึ่ง แต่ฉันสวมฮิญาบเพราะตัวตนของฉันคือมุสลิมคนหนึ่ง ไม่ได้สวมมันเพราะอยากจะยั่วยุปลุกปั่นกระแสอะไรเลย”
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา มาร์สยา สิติ และวิดิ ล้วนได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของตนเอง แม้จะมีเสียงคัดค้านบ้างเล็กน้อย อย่างเช่นพี่สาวของวิดิเคยกล่าวเตือนว่า การเล่นดนตรีเมทัลจะทำลายอนาคตของเธอ ส่วนครอบครัวของสิติยังคงมองว่า การเป็นนักดนตรีของเธอนั้นไม่อาจจะถือเป็นเส้นทางอาชีพที่จริงจังได้ แม้แต่ผู้อำนวยการของโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามที่พวกเธอเข้าศึกษาต่อหลังจบชั้นมัธยมต้น ยังวิพากษ์วิจารณ์ดนตรีของพวกเธอ จนท้ายที่สุดทั้งสามคนต้องลาออกจากโรงเรียนนั้นไป
ในปี 2021 วงวีโอบีออกซิงเกิล “พระเจ้า (โปรด)อนุญาตให้ฉันเล่นดนตรี” (God, Allow Me (Please) to Play Music) ซึ่งเหมือนกับการอ้อนวอนขอความเมตตาจากกลุ่มผู้วิพากษ์วิจารณ์ โดยสามสาวเป็นคนแต่งทำนองดนตรี ในขณะที่เออร์ซาเป็นคนเขียนเนื้อร้อง ซึ่งในเพลงมีการร้องประสานเสียงท่อนหนึ่งว่า “ฉันไม่ใช่อาชญากร ฉันไม่ใช่ศัตรู ฉันแค่อยากจะร้องเพลงเปิดเผยจิตวิญญาณของตัวเอง พระเจ้า...โปรดอนุญาตให้ฉันเล่นดนตรีเถิด”
วงวีโอบีออกตระเวนทัวร์จัดการแสดงไปทั่วโลกทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ
พวกเธอยังเขียนเพลงเกี่ยวกับความรู้สึกคับข้องใจต่อสังคมปิตาธิปไตย และสายตาลวนลามเหยียดหยามของผู้ชาย ซึ่งเป็นความท้าทายที่พวกเธอยังคงต้องเผชิญในฐานะนักดนตรีหญิง โดยระบุไว้ในเพลง “(ไม่ใช่) ทรัพย์สินสาธารณะ” ((Not) Public Property) ว่าดังนี้
“ร่างกายของเราไม่ใช่ทรัพย์สินสาธารณะ เราไม่มีที่ยืนให้กับพวกจิตใจสกปรก ร่างกายของเราไม่ใช่ทรัพย์สินสาธารณะ เราไม่มีที่ยืนให้กับพวกคิดเหยียดเพศ”
มาร์สยาบอกว่า “ช่างน่าผิดหวัง เมื่อสิ่งที่ทุกคนมองเห็นไม่ใช่ดนตรีของเรา หรือความพยายามที่เราทุ่มเทลงไป มันน่าขุ่นเคืองจริง ๆ”
แม้การได้รับเชิญให้ขึ้นแสดงบนเวทีของเทศกาลดนตรีกลาสตันเบอรี จะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงการยอมรับนับถือในระดับโลก แต่สิ่งนี้ก็สร้างความวิตกกังวลให้กับพวกเธออย่างมหาศาล “เราคิดว่าเราพร้อมเสมอ จนกระทั่งทุกคนเริ่มสรรเสริญถึงความยิ่งใหญ่ของเทศกาลนี้ให้ฟังนั่นแหละ...อันที่จริงเราสามารถสนุกกับการแสดงบนเวทีได้มากกว่า หากผู้คนไม่คาดหวังอะไรจากเรามากนัก” มาร์สยากล่าว
ส่วนสิติมองเรื่องนี้ในแง่บวกมากกว่าเพื่อนร่วมวงเล็กน้อย “ฉันยังไม่พร้อมนะ แต่ก็เอาเถอะ...ฉันจะแกล้งทำเป็นดาวดวงเด่นบนเวที คุณจะเห็นว่าฉันชอบปิดตาลงระหว่างที่แสดงอยู่ เพราะกำลังจินตนาการว่าตัวเองแค่ซ้อมในสตูดิโอกับเพื่อน ๆ เท่านั้น”
สิติยังบอกว่า เทคนิคการเตรียมความพร้อมทางจิตใจส่วนหนึ่งของพวกเธอ ยังรวมถึง “การพยายามไม่คิดมากเกินไป เรื่องที่จะมีคนมาดูเรามากน้อยแค่ไหน หากรู้จำนวนคนล่วงหน้าละก็ ฉันว่าฉันรับมันไม่ไหวแน่เลย”
มาร์สยากล่าวทิ้งท้ายว่า “เราภาคภูมิใจกับมัน แต่เมื่อเทียบกับวงอื่น ๆ แล้ว นี่เป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงสำหรับเรา เพราะผู้ชมไม่ได้มาดูแค่วงวีโอบี แต่มาดูประเทศอินโดนีเซียด้วย”