จุดผิดพลาด! “บิ๊กแจ๊ส” พ่ายศึกนายก อบจ. ชิงลาออก-ลงอิสระ
จุดผิดพลาด! “บิ๊กแจ๊ส” พ่ายศึกนายก อบจ. ชิงลาออก-ลงอิสระ
ผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ปทุมธานี ซึ่งนายชาญ พวงเพ็ชร์ เฉือนเอาชนะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีต นายก อบจ.ปทุมธานี นั้น
ล่าสุดนายสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ แพ้การเลือกตั้งเพราะตัดสินใจพลาด 2 เรื่อง คือการตัดสินใจลงแบบอิสระ เพราะอาจจะห่วงกระแสพรรคก้าวไกล คิดว่าการลงในนามพรรคจะทำให้เสียเปรียบ แต่พอพรรคก้าวไกลไม่ส่งผู้สมัครก็กลายเป็นว่าไปเสียเปรียบพรรคเพื่อไทย เพราะไม่มีเสียงจากบ้านใหญ่สนับสนุน
“บิ๊กแจ๊ส”เปิดใจ! ลั่นทำดีที่สุดแล้วหลังแพ้ศึก นายก อบจ.ปทุมฯ
ผลคะแนนไม่เป็นทางการเลือกตั้ง "นายก อบจ.ปทุมธานี" "ลุงชาญ" ล้มแชมป์เก่า "บิ๊กแจ๊ส"
โดยการลงสมัครแบบอิสระ นายสติธร มองว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ต้องหวังพึ่งคะแนนกระแส แต่ก็ตัดสินใจผิดพลาดที่ลาออกมาก่อน ทำให้การเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เกิดขึ้นไม่พร้อมกับทั่วประเทศ ส่งผลให้คนออกมาใช้สิทธิ์ไม่มากเท่าการเลือกตั้งสมัยที่แล้ว คะแนนกระแสไม่ได้มาขนาดนั้น ทำให้เสียงจัดตั้งที่อยู่ฝั่งลุงชาญเฉือนเอาชนะไปได้
นายสติธร ยังมองว่า แม้การลงสมัครของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ รอบนี้ลงในนามอิสระ แต่คนมองภาพ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ผูกโยงกับพรรคภูมิใจไทย สนามเลือกนายก อบจ.ปทุมธานี ที่ผ่านมา จึงเป็นการวัดพลังกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทยมากกว่า โดยกลยุทธ์ของบิ๊กแจ๊ส มีการใช้สีส้มแซมในสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อหวังให้คนที่เชียร์พรรคก้าวไกลมาเลือก แต่ผลที่ออกมาสะท้อนว่าคะแนนจากพรรคก้าวไกลอาจไม่ได้มาเติมเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม นายสติธร ยังบอกอีกว่า ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา แม้คะแนนจะไม่ห่างกันมาก แต่สะท้อนว่ากระแสที่ครอบครัวชินวัตรลงไปช่วยหาเสียงให้นายชาญ โดยใช้โมเดลบ้านใหญ่รวมพลัง ได้ผลตามเป้า โดยเฉพาะช่วงใกล้เลือกตั้งที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไปยืนยันว่านายชาญ ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย ก็ยิ่งทำให้คนที่เชียร์บ้านใหญ่และพรรคเพื่อไทยรวมพลังกันได้เข้มแข็ง ส่วนคะแนนที่ออกมาไม่ห่างกันมาก มองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะสมัยที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เอาชนะนายชาญได้ ก็ทิ้งห่างไม่มากเช่นกัน และครั้งนั้นที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้รับเลือก ก็มีพรรคเพื่อไทยหนุน
ทั้งนี้แม้พรรคเพื่อไทยจะชนะในสนามเลือกตั้ง อบจ.ปทุมฯ แต่นายสติธร ก็มองว่า อาจไม่ได้สะท้อนภาพการเลือกตั้งระดับชาติขนาดนั้น เนื่องจากคนที่ออกมาเลือกตั้งมีวิธีคิดในการเลือกต่างกัน และจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ในระดับชาติ จะมากกว่าราวๆ 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเสียงเหล่านี้จากการเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมาเป็นของ “สีส้ม” ดังนั้นการใช้กลยุทธ์จากบ้านใหญ่เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการเอาชนะการเลือกตั้งระดับชาติ แต่พรรคเพื่อไทยต้องสู้กับกระแสด้วย โดยจะต้องผลักดันนโยบายต่างๆ ให้สำเร็จ โดยเฉพาะการทำให้เศรษฐกิจดูดีในระดับภาพใหญ่ เช่น เรื่องรายได้และค่าครองชีพ หากต้องการหวังผลพื้นที่ปทุมธานีในการเลือกตั้งระดับชาติ