สรุปดราม่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย คนดูเสียงแตก แบบไหนดีกว่า นักวิจารณ์ชี้อีกมุม
สรุปดราม่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย คนดูเสียงแตก แบบไหนดีกว่า นักวิจารณ์หนังชี้อีกมุม เผยที่มาการพากย์เสียง ชี้เป็นศิลปะ และเรื่องเชิงปัจเจก
กำลังเป็นประเด็นดราม่าถกสนั่นในโลกโซเชียลขณะนี้ สำหรับประเด็นร้อน #ไม่ควรดูพากย์ไทย โดยเรื่องราวเป็นอย่างไร วันนี้ ข่าวสด ออนไลน์ สรุปให้
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 67 เพจเฟซบุ๊กวิจารณ์ภาพยนตร์หนึ่ง ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า "Ultraman Rising ควรดูเสียง Eng หรือ JP?" หรือแปลได้ว่า 'Ultraman Rising ควรดูเสียงอังกฤษ หรือ เสียงญี่ปุ่น?' ซึ่งในคอมเมนต์ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันหลากหลายว่าควรฟังเสียงต้นฉบับ หรือ เสียงพากย์ ท่ามกลางคอมเมนต์ จนนำไปสู่ดราม่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย
ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบ
กระทั่งวันที่ 24 มิถุนายน ดราม่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง จนสร้างความไม่พอใจให้กับนักพากย์ไทย และเหล่าคนชอบดูภาพยนตร์พากย์ไทย ทางเพจดังกล่าวจึงได้ออกมาโพสต์อีกครั้งว่า “มีอินบล็อกแจ้งว่า คนในวงการนักพากย์ไทย ไม่พอใจในคอมเมนต์ที่บอกว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย”
"จึงอยากจะพูดอย่างเปิดอกว่า #ผมไม่มีปัญหาอะไรกับนักพากย์ไทย #ไม่มีปัญหาอะไรคนดูพากย์ไทย"
พร้อมเสริมว่า "แต่ถ้าถามว่า หนังฝรั่ง ญี่ปุ่น หรือหนังที่ไม่ได้พูดภาษาไทย ก็ยังคงต้องเน้นย้ำว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย ด้วยเหตุผล ภาพยนตร์ เสียงเองก็เป็นปัจจัยสำคัญ เช่นเดียวกับภาพ การได้รับฟังเสียงของต้นฉบับ ของนักแสดงที่เล่น ที่ผู้กำกับเลือกคัตนั้น คือการเสพงานแบบที่เต็มอรรถรสที่สุด"
"เช่นเดียวกับหนังไทย ต่อให้ได้ วาคีน ฟีนิกซ์ มาพากย์เสียงอังกฤษ ผมก็จะบอกว่าให้ดูเสียงต้นฉบับ #ไม่ควรดูพากย์อังกฤษ เพราะผมยึดถือว่าการดูในสิ่งที่ผู้สร้างต้องการนั้น คือที่สุด”
ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบ
ล่าสุด ธนพัฒน์ วงษ์วิสิทธิ์ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Thanapat Wongwisit เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า "เห็นคนรอบตัวแชร์ #ไม่ควรดูพากย์ไทย จากเพจหนังเพจหนึ่ง พอเห็นแชร์มาก ๆ ก็รู้สึกอดคันปากไม่ได้จนต้องพิมพ์"
"ส่วนตัวในฐานะเป็นคนดูหนัง ถามว่า #พากย์ไทย มีความจำเป็นต้องฟังหรือไม่ ? เลยขอบันทึกคำตอบสำหรับตนเองก่อน"
ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบ จาก Facebook : Thanapat Wongwisit
พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า
1.การข้ามกำแพงทางด้านภาษา
ส่วนหนึ่งของการเกิดพากย์ไทยช่วงเวลาดังกล่าวมาจากช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่าง หนังเงียบอยู่ช่วงขาลง กับ หนังเสียงเข้ามาในสยาม
ตอนนั้นทางเจ้าของโรงภาพยนตร์พัฒนากรประสบปัญหาคนดูหนังลดน้อยลง นาย ต่วน ยาวะประภาษ ซึ่งตอนนั้นเป็นบรรณาธิการหนังสือภาพยนตร์รายเดือนในชื่อ “ภาพยนตร์สยาม” (ซึ่งเป็นหนังสือภาพยนตร์รายเดือนเล่มแรกของสยาม)และเป็นหนังสือของเครือโรงหนัง
นายต่วนเคยเรียนที่ญี่ปุ่นและเห็นการพากย์ของญี่ปุ่นมาก่อน เขาจึงเสนอให้มีการพากย์เสียงทับหนังขึ้นมา ทางโรงหนังไม่มีทางเลือกอื่นจนต้องอนุญาตให้ลอง นายต่วนจัดการด้วยการเตรียมบทพากย์ เขาใส่นุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อราชปะแตน ยืนบนเวทีข้างหน้าจอ ในมือมีไฟส่องบท 1 ดวงและโทรโข่ง 1 ตัว และเริ่มบรรยายบทพูดและบทสนทนาขึ้น
ทั้งนี้ยังรวมถึงการทำเสียงประกอบเองด้วย ถึงแม้นายต่วนจะไม่ใช่นักแสดง เสียงแข็งไร้อารมณ์ แต่ด้วยความแปลก เสียงตอบรับของคนไทยต่อการพากย์ก็ตอบสนองเป็นอย่างดี (การพากย์หนังเงียบญี่ปุ่นสามารถดูได้จาก Talking The Pictures หนังผู้กำกับ Shall We Dance)
ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบ จาก Facebook : Thanapat Wongwisit
สาเหตุที่ตอบรับเป็นอย่างดีมาจากภาพยนตร์เงียบในช่วงเวลาดังกล่าว เสียงในหนังที่เข้ามาในยุคแรกมีการพูดภาษาต่างประเทศจึงฟังไม่รู้เรื่องจนต้องมีการแปลเป็นบทขึ้นมา การกระทำของนายต่วนจึงเป็นปรากฎการณ์ต้นสายการพากย์หนังในไทย
ต่อมาในปี 2470 นาย สิน สีบุญเรือง (ทิดเขียว) เพื่อนนายต่วนและญาติโรงหนังดังกล่าว เห็นโอกาสในการทดลองพากย์เสียงไทย ด้วยความสามารถด้านการพากย์โขนสดก็ดัดแปลงใช้เป็นพากย์หนังสด ด้วยความที่ตนพากย์คนเดียวจึงรับบททุกวัย ทุกเพศ สัตว์ จนถึงเสียงประกอบ เช่น เสียงปืน เป็นต้น ( จะบทเด็กชาย เด็กหญิง คนแก่ ไก่ หมา ก็เหมาหมด ) ผลตอบรับกลายเป็นกระแสบวกอย่างล้นหลาม
ถัดมาในช่วงหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 การพากย์ก็เกิดเป็นยุคทองอีกครั้งโดยนำโมเดลการพากย์แบบ นายสิน มาประกอบการพากย์ กลายเป็นยุคทองของหนังฟิล์ม 16 มม. ที่เป็นช่วงการฉายหนังกลางแปลงและนักพากย์เร่ (รวมถึงฉายหนังแบบรถขายยา ) ซึ่งค่านิยมของการพากย์ก็ยังเป็นที่นิยมและมีชื่อไม่แพ้ดาราในหนัง ซึ่งถ้าใครนึกไม่ออกให้นึกถึงหนังไทย “มนต์รักนักพากย์”
ฉะนั้นการพากย์ไทยจึงเป็นการข้ามกำแพงภาษาให้เข้าใจหนังมากขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว
ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบ จาก Facebook : Thanapat Wongwisit
2 .ลดช่องว่างระหว่างชนชั้น
จะเห็นได้ว่าการพากย์ไทยแรกเดิมมาจากสื่อสารที่เข้าถึงง่ายและสนุกกับลีลาของผู้พากย์ อีกทั้งการรับจ้างพากย์หนังกลางแปลง มันต้องการพื้นที่ใหญ่ในการฉาย เช่น วัด หรือ งานมงคล เป็นต้น
มันจึงเป็นการสร้างคอมมูนิตี้สำหรับชาวบ้านที่มานั่งดู (ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนชนชั้นล่างและกลาง) ฉะนั้นการพากย์ไทยจึงเป็นการสร้างพื้นที่ประกอบการเรียกรายได้แก่ชุมชน(แม้ในระยะสั้น)อีกด้วย หากมองที่ช่องว่างระหว่างชนชั้น การพากย์เป็นการช่วยย่อยความเข้าใจของคนดูต่องานศิลปะ เช่น ภาพยนตร์ และ แอนิเมชั่น ให้ดูเข้าใกล้ง่ายและแตะถึง
3.การพากย์ไทยเป็นการย่อยสารให้ง่าย เหมาะกับทุกวัย
ผู้เขียนมั่นใจว่าคนไทยส่วนใหญ่เติบโตมากับงานพากย์ไทยจากแอนิเมชั่น ( ดิสนีย์ ) หรืออนิเมะญี่ปุ่น เป็นสำคัญ ซึ่งไม่ว่ากี่รุ่นก็ต้องผ่านมือบ้างเนื่องจากความง่ายในการสื่อสารแบบย่อยง่าย (โดยเฉพาะภาษาที่สองอย่างภาษาอังกฤษ) เพื่อให้เด็กเข้าถึงงานได้ง่ายเนื่องจากเป็นการช่วยลดระยะจากตัวอักษรให้มองภาพได้มากขึ้น
อีกส่วนคือคนไทยมีพฤติกรรมทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เหมือนกับแม่บ้านช่วงยุคละครสบู่ยุค 50 พากย์ไทยจึงเป็นโอกาสในการลดการมองจากภาพ ถึงทำกิจกรรมได้ด้วยก็สามารถรู้เนื้อหาของสิ่งที่ดูได้ หรือย่อยสิ่งที่ยากเพื่อสื่อสารให้ง่ายขึ้น เช่น รายการแนววิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เป็นต้น หรือช่วยบุคคลที่นึกภาพไม่ออกให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น (เช่น คนตาบอด หรือ สายตาสั้น)
ทั้งนี้จากทั้งหมด 3 อย่างก็พึงถึงประโยชน์ของงานพากย์ไทยได้ทั้งเชิงอรรถรสและความสำคัญของงานศิลปะ
ในระยะหลังของทีมพากย์อินทรี และ พันธมิตร (ซึ่งจะคุ้นเคยผ่านงานฝรั่งและเอเชีย ผ่านมีเดียตั้งแต่วิดีโอเทป ซีดี ดีวีดี ช่องทีวี และเคเบิล) แม้ทีมพากย์จะแตกตัวจากกลุ่มเป็นอิสระ แต่การสื่อสารเท่าต้นฉบับและความสนุกของการดูก็ยังคงผ่านสายตาของคนดูชาวไทยไม่มากก็น้อย
ยิ่งนับวันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการปั้นตัวละครเป็นการแสดงมากขึ้นเพื่อยกระดับให้เท่าสากล การพากย์จึงเป็นงานเชิงศิลปะผ่านการใช้เสียงที่มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนหน้าตาไม่แพ้การแสดงผ่านร่างกายเลย
ถึงแม้เรื่องอรรถรสส่วนบุคคลจะเป็นเรื่องเชิงปัจเจก เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ชอบต้องมีคนไม่ชอบบ้างด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่ในแง่ความเป็น“สื่อ”โดยเฉพาะงานศิลปะ มันต้องเปิดใจให้กว้างเพื่อตอบรับคำวิจารณ์หรือวาดลวดลายทางอารมณ์อย่างเข้าอกเข้าใจ
ฉะนั้นการเข้าใจความหลากหลายจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะคำว่า “ไม่ควร” นอกจากเป็นการตัดตัวเลือกในเชิง “ติ” มันยังส่อความโดยนัยถึงความ“ไม่งาม”ด้วย ทางเพจดังกล่าวจึงควรใช้คำที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ #ไม่ควรดูพากย์ไทย (ถ้าเป็นผู้เขียนจะใช้คำว่า “ไม่สันทัด” เพื่อลดเรื่องการแนะนำ และ เปิดโอกาสให้คนดูได้เลือกมากขึ้น)
ฉะนั้นลองปิดตาสักข้าง หรือตีลังกาดูอีกสักรอบ เผื่อเห็นความงามของศิลปะที่เรียกว่า“เสียง”เผื่อจะเห็นสุนทรียะของการฟังเสียงไทยมากขึ้นนะครับ พร้อมติดแฮชแท็ก #เป็นกำลังใจให้นักพากย์ไทย ครับ
ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบ
ที่มา : Thanapat Wongwisit
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สรุปดราม่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย คนดูเสียงแตก แบบไหนดีกว่า นักวิจารณ์ชี้อีกมุม
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th