ไข้หวัดใหญ่อาการรุนแรง 7 กลุ่มเสี่ยงควรรับวัคซีน ก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน
นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ในปัจจุบัน มีข้อมูลจากการเฝ้าระวังโรคฯ ของกองระบาดวิทยา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 - 20 มิถุนายน 2567 รายงานผู้ป่วยในประเทศไทย 1.8 แสนราย มีรายงานผู้เสียชีวิต 14 ราย พบในจังหวัดนครราชสีมา 5 ราย นครศรีธรรมราช 2 ราย ชัยภูมิ สุราษฎร์ธานี กรุงเทพมหานคร สุโขทัย สมุทรปราการ ภูเก็ต และกาฬสินธุ์ จังหวัดละ 1 ราย ซึ่งจากข้อมูลการเฝ้าระวังสายพันธุ์เชื้อก่อโรคไข้หวัดใหญ่และโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจในประเทศไทยเฉพาะพื้นที่ (Sentinel Surveillance) ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 - 16 มิถุนายน 2567
โดยกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และศูนย์ความร่วมมือไทย - สหรัฐ ด้านสาธารณสุข ในกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จำนวน 2,284 ราย พบว่าเป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด A/H3N2 จำนวน 1,044 ราย (ร้อยละ 45.71) ชนิด B จำนวน 619 ราย (ร้อยละ 27.10) ชนิด A/H1N1 (2009) จำนวน 594 ราย (ร้อยละ 26.14) และชนิด A ไม่ระบุสายพันธุ์ จำนวน 24 ราย (ร้อยละ 1.05)
“โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง สามารถกินยาตามอาการและหายได้เอง แต่มีส่วนน้อยที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทำให้อาการรุนแรงและเสียชีวิต ในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง กรมควบคุมโรคได้ส่งทีมสอบสวนโรค จะดำเนินการสอบสวนร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขในพื้นที่วิเคราะห์ผลอย่างละเอียด”
นายแพทย์ธงชัย กล่าวว่า แม้โรคไข้หวัดใหญ่จะเป็นโรคประจำถิ่นที่มีมานานและพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี แต่ก็สามารถก่อให้เกิดอาการรุนแรง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยบางรายได้ เช่น ภาวะปอดอักเสบ อาการหอบหืดกำเริบ สมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน โดยประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงที่มักพบอาการแทรกซ้อนรุนแรง ได้แก่ เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอดเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจ เป็นต้น ดังนั้น จึงอยากเชิญชวนประชาชนโดยเฉพาะ7 กลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ฟรี ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงสิงหาคม 2567 (ปีละ 1 ครั้ง) เพื่อลดความรุนแรงของโรค ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน และความเสี่ยงในการเสียชีวิต ซึ่งช่วงฤดูฝนของทุกปีมักพบการแพร่ระบาดของโรคสูง
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถป้องกันได้ทั้งโรคโควิด19 เชื้อ RSV และโรคติดเชื้อระบบหายใจอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ดังนี้
1. หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ รวมถึงเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวและสิ่งของที่มีคนสัมผัสบ่อย ๆ เช่น ลูกบิดประตู ของเล่น
2. ใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะหรือกิจกรรมที่มีคนรวมตัวกันมาก
3. เมื่อไอ จาม ต้องใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปากและจมูกทุกครั้ง
4. กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง คือ ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค หญิงตั้งครรภ์ โรคอ้วน เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี ผู้พิการทางสมอง ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป โรคธาลัสซีเมีย และภูมิคุ้มกันบกพร่อง สามารถรับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต
5. โรงเรียนควรคัดกรองเด็กก่อนเข้าเรียนทุกเช้า หากพบมีอาการไข้ ไอ จาม ขอให้นักเรียนใส่หน้ากากอนามัย และให้ผู้ปกครองมารับกลับไปรักษาที่บ้าน
6. ผู้ป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน พักรักษาตัวเป็นเวลา 3 - 7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ และสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง และหากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์โดยเร็ว
7. ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ หรือถ้าจำเป็นควรปิดปาก ปิดจมูกด้วยหน้ากากอนามัย ไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน ใช้ช้อนกลาง และหลีกเลี่ยงไปยังสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านหรือแออัด
หากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้น เช่น หอบเหนื่อย ซึมลง รับประทานอาหารได้น้อย ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422