บจ.ตลาดหุ้นแบกหนี้ 35 ล้านล้าน ผวาบริษัทถูก “หั่นเครดิต” เพิ่ม
ภาพประกอบข่าว
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยแบกหนี้สินรวม 35.57 ล้านล้าน “บล.หยวนต้า” เผยหนี้สินต่อทุน 2.6 เท่า เจอภาระจ่ายดอกเบี้ยสูงลากยาวถึงสิ้นปี แบงก์กรุงไทยเผยกลุ่ม SET100 ความสามารถชำระหนี้ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด ธุรกิจยังแฮ้ง ผวา ! บจ.ขนาดใหญ่ถูกลดเครดิตเรตติ้งมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้รายงานผลประกอบการช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 ไปแล้ว โดยพบว่าบริษัทใน SET มีกำไรสุทธิ 264,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) บริษัทใน mai มีกำไรสุทธิ 4,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.2% โดยบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) มีหนี้สินรวม 35.57 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.16 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.47% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) และเพิ่มขึ้น 1.28 ล้านล้านบาท หรือ 3.75% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ในส่วนของบริษัทใน SET อยู่ที่ 2.57 เท่า และบริษัทใน mai อยู่ที่ 0.76 เท่า
ภาพประกอบข่าว
บจ.ภาระดอกเบี้ยจ่ายสูง
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ไตรมาสแรกปี 2567 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) อยู่ประมาณ 2.6 เท่า ไม่แตกต่างจากงวดไตรมาส 4/2566 มากนัก สะท้อนฐานะทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนไทยค่อนข้างทรงตัว แต่ว่าภาระดอกเบี้ยจ่ายยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และประเมินสถานการณ์ภาระดอกเบี้ยจ่ายในปี 2567 จะอยู่ในระดับสูงกว่าปีที่แล้วในทุกไตรมาส เว้นแต่ว่ามีบริษัทใดจ่ายคืนหนี้
ผลจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมาต่อเนื่องรวม 8 ครั้ง จากระดับ 1.25% จนขยับมาอยู่ที่ระดับ 2.5% ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ก็จะปรับขึ้นมาตลอดทาง โดยประเมินว่าปีนี้ กนง.จะลดดอกเบี้ยแค่ 1 ครั้ง ในช่วงปลายปี ซึ่งก็จะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจดทะเบียนไทยยังอยู่ในระดับสูง ลากยาวต่อไปในช่วงไตรมาส 2-3 ปีนี้
กลุ่มยานยนต์-อสังหาฯยอดแย่
นายณัฐพลกล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของยอดหนี้บริษัทจดทะเบียน อาจเป็นการขยายธุรกิจแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะเศรษฐกิจไม่ได้ดีจนถึงขั้นเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ บางส่วนเป็นแบบเงินทุนหมุนเวียนเพื่อประคองธุรกิจด้วย โดยพิจารณาจากผลประกอบการช่วงไตรมาส 1/2567 โดยภาพรวม เซ็กเตอร์ที่ค่อนข้างแย่คือ ยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสองเซ็กเตอร์ที่ต้องใช้คำว่า ็กระแสเงินสดหมุนช้าิ และรายได้ชะลอตามยอดขาย
โดยเซ็กเตอร์อสังหาฯต้องยอมรับว่า ยอดขายบ้านชะลอตัว ส่วนเซ็กเตอร์ยานยนต์ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งยังไม่สามารถที่จะดูดซับกับยอดที่หายไปได้ ทั้งนี้ ช่วงที่เหลือของปีนี้คงต้องรอลุ้นภาพเศรษฐกิจไทยที่จะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3-4 ว่าจะสามารถฟื้นความเชื่อมั่นได้หรือไม่
“โรงไฟฟ้า-ไฟแนนซ์-สื่อสาร” หนี้สูง
นายณัฐพลกล่าวต่อว่า เซ็กเตอร์ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายในระดับสูง จากการก่อหนี้ด้วยการกู้ยืมหรือระดมทุนหุ้นกู้ค่อนข้างมาก ประกอบด้วย 1.ธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งปีนี้รายได้จากค่า Ft ไม่ได้ขยับขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายหลักคือ ภาระดอกเบี้ยจ่ายค่อนข้างคงที่ในระดับที่สูง และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ค่อนข้างสะวิง คาดเดาได้ยาก ทำให้สถานะธุรกิจโรงไฟฟ้าทรงตัว อาจต้องรอการประมูลโรงไฟฟ้าใหม่ ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่ ที่อาจทำให้กลุ่มโรงไฟฟ้ากลับมาได้รับความน่าสนใจอีกครั้ง หรือกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้าฟื้นกลับมาเพอร์ฟอร์มได้ ปัจจัยสำคัญคือ กนง.ต้องลดดอกเบี้ย
2.ธุรกิจไฟแนนซ์ (ลีสซิ่ง, เช่าซื้อ) ที่ถูกกระทบจากสินเชื่อขยายตัวช้าตามเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ดี จากที่ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ก็ทำให้ลูกค้าหันมาใช้บริการไฟแนนซ์มากขึ้น ส่งผลให้ผลกระทบเชิงลบยังไม่หนักมาก
3.ธุรกิจสื่อสาร ที่มีทั้งการลงทุนโครงข่าย, เสาสัญญาณ ที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ปีนี้ธุรกิจสื่อสารมีทิศทางรายได้เริ่มขยับขึ้นมาจากการแข่งขันที่ลดลง เพราะเหลือผู้เล่นหลัก 2 ราย
“ทุกเซ็กเตอร์ที่กล่าวมาข้างต้น ภาระหนี้ที่สูงเป็นไปตามเนเจอร์ของการทำธุรกิจ ยังดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวมาหักล้าง”
ห่วงกลุ่มอสังหาฯสต๊อกล้น
นายณัฐพลระบุว่า สำหรับเซ็กเตอร์ที่น่าห่วงในตลาดหุ้นกู้ คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นกลุ่มที่มีการระดมทุนออกหุ้นกู้ในสัดส่วนที่สูง แม้ว่าภาระหนี้โดยรวมอาจจะไม่มาก แต่บางบริษัทมีหนี้สูง โดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่เพิ่งเติบโต มีช่องทางในการขยายธุรกิจก็จะกู้ยืม หรือออกหุ้นกู้ค่อนข้างมาก และลงทุนสร้างที่อยู่อาศัยในช่วงที่เศรษฐกิจช็อกพอดี ทำให้สินค้าคงเหลือระบายไม่ทัน ซึ่งเคยเกิดปัญหากับบางดีเวลอปเปอร์มาแล้ว ดังนั้นแม้จะยังไม่เห็นปัญหาหนี้ แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยห่วงเรื่องการระบายสินค้าคงเหลือที่เริ่มช้าลง
“อสังหาฯจะไปได้ด้วย 2 ปัจจัยหลัก คือ ดอกเบี้ย กับความเชื่อมั่น ซึ่งตอนนี้ดอกเบี้ยยังไม่ลง และความเชื่อมั่นสูญเสียไป จากเรื่อง GDP ไตรมาส 1/2567 ที่ออกมาค่อนข้างต่ำ (โต 1.5%) และมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯของรัฐบาลยังไม่ได้ช่วยมากนัก ก่อนหน้านั้นถูกขับเคลื่อนด้วยกำลังซื้อระดับบน แต่ปีนี้ดีเวลอปเปอร์ชะลอเปิดโครงการแนวราบ จึงไม่ค่อยมี Inventory มาขาย ประกอบกับบ้านและคอนโดฯหรูในระดับ 30 ล้านบาทขึ้นไป ก็เริ่มขายได้ช้าลง คงคาดหวังการฟื้นตัวช่วงครึ่งปีหลัง ที่รัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการลงทุนและการบริโภค น่าจะทำให้ความเชื่อมั่นดีขึ้น หนุนภาคอสังหาฯน่าจะหมุนได้ดีขึ้น” นายณัฐพลกล่าวและว่า
สำหรับกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2567 คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 92 บาท/หุ้น เติบโต 20% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุผลคือช่วงไตรมาส 4/2566 ธนาคารมีการตั้งสำรองสูง และหลายบริษัทมีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ ทำให้กำไรช่วงไตรมาส 4 ปีก่อนฐานต่ำ และไตรมาส 2-3 ปีที่แล้ว มีการเลือกตั้งเป็นสุญญากาศไม่มีตัวเร่งอีกด้วย
บจ.ความสามารถชำระหนี้ยังแย่
ด้านนายสงวน จุงสกุล ผู้บริหารฝ่ายธุรกิจสายงานตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า นับจากก่อนโควิดจนปัจจุบัน หุ้นในกลุ่ม SET100 ความสามารถในการทำกำไรกลับมามีอัตรากำไรได้ในระดับเดียวกับก่อนโควิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกำไรขั้นต้น (Gross Margin) และกำไรสุทธิ (Net Margin)
แต่ด้านอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (Leverage Ratio) ถือว่ายังห่างจากก่อนโควิด โดยหนี้สินต่อทุน (D/E) ในกลุ่มบริษัท SET100 อยู่ในระดับ 0.80 เท่า เมื่อช่วงก่อนโควิด และพุ่งขึ้นไปแตะ 0.93-0.98 เท่า ในช่วงปี 2563-2566 และล่าสุดสิ้นไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 0.93 เท่า ถือว่าภาวะหนี้ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิด
“สะท้อนว่าคนไทยสร่างไข้โควิดแล้ว แต่เศรษฐกิจและภาคธุรกิจยังแฮงอยู่ ซึ่งอาจจะไม่ได้แย่ลงเพราะวิกฤตโควิดแล้ว แต่เป็นเพราะปัจจัยพื้นฐานโดยรวมของเศรษฐกิจ” นายสงวนกล่าว
บจ.ถูกลดเครดิตเรตติ้งเพิ่ม
แหล่งข่าววงการตลาดเงินและตลาดทุนกล่าวว่า ตอนนี้ความเสี่ยงด้านเครดิตของบริษัทจดทะเบียนไทยยังอยู่ในลักษณะ “ตั้งรับ” โดยจากปี 2562 ช่วงก่อนโควิด ทริสเรตติ้ง (TRIS Rating) มีการอัพเกรดอันดับความน่าเชื่อถือจำนวน 18 บริษัท และดาวน์เกรด15 บริษัท บริษัทถูกดาวน์เกรดน้อยกว่าถูกอัพเกรด แต่ในปี 2563 ช่วงโควิด พบว่ามีบริษัทถูกดาวน์เกรดมากถึง 27 บริษัท และอัพเกรดเพียง 6 บริษัท เรียกว่ามีบริษัทที่ถูกดาวน์เกรดมากกว่าถึง 4.5 เท่า
ขณะที่ในปี 2566 มีบริษัทถูกดาวน์เกรดมากกว่าถูกอัพเกรด 2.1 เท่า แต่ปีนี้มีความน่ากังวลขึ้นอีกครั้ง เพราะข้อมูลจนถึง 4 มิ.ย. 2567 พบว่ามีบริษัทถูกดาวน์เกรดไปแล้ว 15 บริษัท ขณะที่มีบริษัทที่ได้รับการอัพเกรดแค่ 2 บริษัท เท่ากับว่ามีบริษัทถูกดาวน์เกรดมากกว่าถูกอัพเกรดถึง 7.5 เท่า สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านเครดิตยังน่ากังวลสอดคล้องกับภาพหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของภาคธนาคารยังไม่ลดลงมากนัก
สำหรับรายชื่อหุ้นที่ถูกดาวน์เกรด อาทิ CKP, ITD, CPF, BTS, STGT, STA, IRPC, W สำหรับ IRPC เป็นผลจากภาพธุรกิจปิโตรเคมีที่แย่ต่อเนื่อง 2-3 ปี และมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย (Net Debt to EBITDA Ratio) ต่ำลง และฟื้นตัวช้ากว่าคาด ส่วนกรณี BTS เป็นเพราะภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการระบบขนส่งมวลชน และการเข้าซื้อเงินลงทุนในกิจการต่าง ๆ หลายแห่ง แม้ว่าจะได้รับชำระหนี้จากกรุงเทพมหานครในส่วนของค่าบริการงานจัดหาและติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) สำหรับโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้และส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือแล้วทั้งจำนวน เป็นเงินประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท แต่ภาระหนี้สินของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่สูง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : บจ.ตลาดหุ้นแบกหนี้ 35 ล้านล้าน ผวาบริษัทถูก “หั่นเครดิต” เพิ่ม
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net