แก้รัฐธรรมนูญ 60: ประชามติครั้งแรกจะไม่เกิดขึ้นในเดือน ก.ค.-ส.ค.
เศรษฐา ทวีสิน แถลงผลการประชุม ครม. เมื่อ 23 เม.ย.
การทำประชามติยกแรกก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ส่อเค้าต้องเลื่อนไปอีก 5-6 เดือน หลังมีการเปิดเผยข้อมูลว่า มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 23 เม.ย. ให้รอการแก้ไขกฎหมายประชามติปี 2564 เสร็จสิ้นก่อน ไม่ได้เริ่ม “นับหนึ่ง” ทันที
วันนี้ (2 พ.ค.) มีการประชุมของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อหารือเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 โดยมีตัวแทนคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ฯ ที่รัฐบาลตั้งขึ้น, สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.), สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมถึง 2 สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะผู้ริเริ่มเสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ต่อสภาผู้แทนราษฎร คือ นายชูศักดิ์ ศิรินิล จากพรรคเพื่อไทย (พท.) และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ จากพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ร่วมหารือด้วย
รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน เตรียมเดินหน้าเสนอแก้ไขกฎหมายประชามติ ยกเลิกระบบ “เสียงข้างมาก 2 ชั้น” หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เคาะให้ทำประชามติ 3 ครั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
การตัดสินใจดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นประธาน
ทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงข่าว ณ วันนั้นว่า การทำประชามติครั้งแรกต้องเกิดขึ้นภายใน 90-120 วันนับจากมีมติ ครม. คือ ไม่ก่อน 21 ก.ค. และไม่หลัง 21 ส.ค. โดยใช้งบประมาณ 3,200 ล้านบาท
มติ ครม. ให้ “นับหนึ่ง” ประชามติหลังมี กม. ใหม่
ทว่าในวงประชุมที่ สปน. เพื่อหารือเรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ในวันนี้ (2 พ.ค.) ปรากฏเอกสารในระเบียบวาระที่ 2 เรื่อง แจ้งมติ ครม. เมื่อ 23 เม.ย. 2567 โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีเนื้อหา 4 ข้อ แต่สาระสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าการทำประชามติครั้งแรกจะไม่เกิดขึ้นภายในเดือน ส.ค. นี้ปรากฏใน 2 ข้อ
- ข้อ 2 ให้ สปน. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติฯ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน กกต. พิจารณายกร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณา และหากมีร่าง พ.ร.บ. ที่มีลักษณะในทำนองเดียวกันของ สส. ที่อยู่ระหว่างการบรรจุวาระการประชุมหรือได้รับการบีจุวาระการประชุมสภาแล้ว ก็ให้นำมาประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอต่อ ครม. ต่อไป
- ข้อ 3 ให้ สปน. ประสานงานกับสำนักงาน กกต. ในการจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบปรมาณเท่าที่จำเป็น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ “ทั้งนี้ เมื่อร่าง พ.ร.บ. ตามข้อ 2 ได้มีผลบังคับเป็นกฎหมาย และ ครม. ได้มีมติให้มีการออกเสียงประชามติแล้ว”
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.ก้าวไกล ตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีตัวแทนรัฐบาลที่สื่อสารผิดพลาดเกี่ยวกับการกรอบเวลาในการทำประชามติครั้งแรก โดยบอกว่าจะมีขึ้นปลายเดือน ก.ค. ถึงเดือน ส.ค. ซึ่งเป็นการตีความว่าเริ่ม “นับหนึ่ง” ตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติ 23 เม.ย. ให้เดินหน้าทำประชามติ แต่จากการตรวจสอบพบว่า มติ ครม. ยังไม่ให้นับหนึ่ง แต่จะนับหนึ่งก็ต่อเมื่อการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ แล้วเสร็จ
“เอกสารประกอบประชุมในวันนี้แสดงให้เห็นว่า การนับหนึ่งจะเกิดขึ้นหลังมีกฎหมายประชามติฉบับใหม่แล้ว ถึงนำเรื่องกลับเข้า ครม. และกำหนดวันออกเสียงประชามติ 90-120 วันนับจากนั้น ผมได้ถามในที่ประชุมวันนี้ว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่ ก็ได้รับคำยืนยันจากตัวแทนรัฐบาลว่าเข้าใจถูกต้อง ที่ผ่านมา เราไม่เห็นเอกสารเกี่ยวกับมติ ครม. 23 เม.ย. มีแต่โฆษกรัฐบาล กรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางประชามติฯ รวมถึงอินโฟกราฟิคของพรรคเพื่อไทยที่บอกว่าการทำประชามติจะเกิดขึ้น 21 ก.ค.-21 ส.ค. จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลให้ออกมาสื่อสารเกี่ยวกับการกำหนดวันทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน” นายพริษฐ์กล่าวกับบีบีซีไทย
สส.ก้าวไกล รายนี้ย้ำว่า ที่ประชุมวันนี้ไม่ได้เป็นผู้เลื่อนวันทำประชามติออกไป แต่ “เป็นปัญหาจากการสื่อสารคลาดเคลื่อนของรัฐบาลเอง”
ส่วนจะเป็นการจงใจ “หมกเม็ด” หรือเข้าใจข้อมูลผิดพลาดนั้น นายพริษฐ์ไม่ขอตอบ โดยให้ไปสอบถามจากคนในรัฐบาลเอง
บีบีซีไทยตรวจสอบมติ ครม. เมื่อ 23 เม.ย. จากเว็บไซต์ สลค. ไม่ปรากฏว่ามีการนำข้อมูลมติ ครม. เรื่องการทำประชามติ 3 ครั้ง ขึ้นเผยแพร่ต่อสาธารณะแต่อย่างใด
ขณะที่เว็บไซตทำเนียบรัฐบาลได้สรุปข่าวการประชุม ครม. นัดดังกล่าว โดยอยู่ในเรื่องที่ 17 การพิจารณารายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติฯ โดยระบุว่า ครม. เห็นควรให้ทำประชามติ 3 ครั้ง และทำเมื่อใด และกำหนดคำถามในการทำประชามติครั้งที่ 1 ว่าถามอย่างไร ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประชามติ บอกไว้เพียงว่า “คณะกรรมการฯ ได้มีข้อห่วงใยเพิ่มเติม โดยเห็นควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประชามติ พ.ศ. 2564 เพื่อให้กฎหมายดังกล่าวสามารถเป็นเครื่องมือทางประชาธิปไตยที่จะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงในเรื่องต่าง ๆ ได้โดยตรง” พร้อมระบุถึงประเด็นต่าง ๆ ที่เห็นควรให้มีการแก้ไข
อย่างไรก็ตามข่าวการประชุม ครม. ในเว็บไซต์ที่เป็นทางการของรัฐบาล ไม่ได้ระบุว่า การทำประชามติครั้งแรกจะเกิดขึ้นภายหลังการแกไข พ.ร.บ.ประชามติ แล้วเสร็จแต่อย่างใด
พ.ร.บ. ประชามติฉบับปจจุบัน มาตรา 11 กำหนดว่า เมื่อ ครม. พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควรในการที่จะให้มีการออกเสียงประชามติ ให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงตามวันที่กำหนด ตามที่ได้หารือร่วม กกต. ซึ่งต้องไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วันนับแต่วันที่ ครม. มีมติ
ครม. ชงเองร่างแก้ไข กม.ประชามติ
ส่วนการยกร่างแก้ไขกฎหมายประชามติปี 2564 นายนิกร จำนง โฆษกคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติฯ เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ ได้ยกร่าง พ.ร.บ.แก้ไขกฎหมายประชามติ โดยนำจุดแข็งของแต่ละร่างมารวมกันเพื่อให้ได้กฎหมายประชามติที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องรัฐธรรมนูญ แต่ทำประชามติได้ทุกเรื่อง โดยจะเสนอในนามของ ครม.
เขายังเปิดเผยสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับรัฐบาลเอาไว้ ดังนี้
- การจัดให้มีการออกเสียงประชามติสามารถทำพร้อมกับการเลือกตั้งอื่นได้ เพื่อประหยัดงบประมาณและเวลาของประชาชน
- สามารถออกบัตรเลือกตั้งอื่นได้ เช่น การลงคะแนนผ่านไปรษณีย์, ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์, ผ่านแอปพลิเคชัน
- ในการผ่านประชามติ กำหนดให้ใช้ “เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียง” ไม่ใช่เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จากเดิมกำหนดให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้นคือ ชั้นแรก ต้องมีผู้ไปใช้สิทธิออกเสียงจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และชั้นที่สอง ต้องมีผู้โหวตเห็นด้วยจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้ไปใช้สิทธิออกเสียง
นายนิกรคาดว่า ในวันพรุ่งนี้ (3 พ.ค.) จะเปิดรับฟังความเห็นของประชาชนต่อร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับนี้ผ่านเว็บไซต์ สปน. ไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนเสนอ ครม. เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป โดยตั้งใจจะเสนอร่างดังกล่าวเพื่อพิจารณาในวาระแรกได้ทันการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ ภายหลังการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ในเดือน มิ.ย. จากนั้นในเดือน ก.ค. จะได้พิจารณาวาระต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมี สว. ชุดใหม่เข้ามาแล้ว
คาดเลื่อนประชามติยกแรกไป 5-6 เดือน
ส่วนที่รัฐบาลเคยระบุว่า ประชาชนจะได้เข้าคูหาประชามติครั้งแรกปลายเดือน ก.ค. ถึงต้นเดือน ส.ค. นั้น นายนิกรกล่าวว่า เห็นปัญหาว่าหากทำประชามติโดยยังไม่แก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ โดยใช้งบประมาณไปกว่า 3,000 ล้านบาท แล้วคนมาใช้สิทธิไม่เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิทั่วประเทศ หรือ 26 ล้านคน จากผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 52 ล้านคน จะทำให้งบประมาณเสียไปเปล่า ๆ หลังจากนี้จะได้เข้าคูหาเมื่อใดนั้น ต้องรอให้กฎหมายประชามติฉบับใหม่เสร็จสิ้นก่อน แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปคุยรายละเอียดอีกครั้ง ทั้งเรื่องงบประมาณ การกำหนดวัน ถ้าถามเวลาตอนนี้ยังตอบไม่ได้ แต่คาดว่าจะทำได้ภายใน 5 เดือนหลังกฎหมายประชามติมีผลบังคับใช้
นายนิกรยังเสนอให้ทำประชามติครั้งที่ 2 ในวันเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตังหวัด (อบจ.) ช่วงต้นเดือน ก.พ. 2568 พร้อมยืนยันว่า การทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเสร็จในกรอบเวลา 4 ปีของรัฐบาลนี้
ด้านนายชูศักดิ์กล่าวถึงขั้นตอนในการพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ว่า เมื่อ 250 สว.ชุดเฉพาะกาลหมดวาระลงในวันที่ 10 พ.ค. นี้ ก็จะกลับไปใช้ขั้นตอนปกติ โดยผ่านสภาผู้แทนราษฎร 3 วาระ ก่อนส่งให้วุฒิสภาพิจารณาต่อ โดยจะเร่งรัดให้กฎหมายนี้เข้าสู่สภาในการเปิดสมัยประชุมสมัยวิสามัญ
“ไทม์ไลน์คาดการณ์ว่า การทำกฎหมายประชามติไม่น่าจะเกิน 6 เดือน ซึ่งเป็นไปได้ว่าการเริ่มทำประชามติครั้งแรกจะนับระยะเวลา 6 เดือนหลังจากนี้” นายชูศักดิ์กล่าว
ก้าวไกลชงเปิดวิสามัญด่วน-เปลี่ยนคำถามประชามติ
นายชูศักดิ์ ศิรินิล กับนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ยื่นร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ต่อประธานสภา เมื่อ 1 ก.พ.
อย่างไรก็ตามนายชูศักดิ์ และนายพริษฐ์ มีความเห็นร่วมกันว่า ให้ ครม. เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญโดยเร็วที่สุด ซึ่งพรรค ก.ก. เสนอให้เปิดวิสามัญในเดือน พ.ค. โดยไม่จำเป็นต้องรอพ่วงไปกับการเปิดวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 ที่ เนื่องจากขณะนี้มีร่างแก้ไขกฎหมายประชามติฉบับก้าวไกลและเพื่อไทยรอเข้าสู่การพิจารณาของสภาแล้ว หากร่าง พ.ร.บ.ประชามติของ ครม. เสนอมาทัน ก็สามารถนำมาประกบได้ทันที แต่ถ้าไม่ทัน ก็สามารถเสนอเนื้อหาเพิ่มเติมในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ในภายหลังได้
ในเมื่อการทำประชามติยกแรก ต้องรอหลังมี พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับใหม่ สส.ก้าวไกลรายนี้จึงเสนอให้ทบทวนคำถามประชามติครั้งแรก โดยเปลี่ยนไปไช้คำถามที่เปิดกว้างว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เพราะมองว่าจะมีโอกาสผ่านมากกว่า และหากประชามติผ่านไปแล้ว รัฐบาลยังสามารถรักษาจุดยืนของตัวเองที่จะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 ได้ในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256
สำหรับคำถามในการจัดระชามติครั้งที่ 1 ที่ ครม. เห็นชอบให้สอบถามประชาชนคือ “ท่านเห็นชอบหรือไม่ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์”