ส่องเงื่อนไข-สิทธิประโยชน์ 3 กองทุนลดหย่อนภาษี "TESG-SSF-RMF"
มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 เห็นชอบการจัดตั้งกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) หรือ TESG เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาว พร้อมเปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2575 และนำมาหักลดหย่อนภาษีได้เลยตั้งแต่ปีภาษี 2566 โดยยื่นภาษีภายในเดือนมีนาคม 2567
ทั้งนี้รัฐบาลประเมินว่ากองทุน TESG จะกระตุ้นให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดทุนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทในปีแรก จากช่วงเวลาที่เหลือ 1 เดือน และการยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ลงทุนในกองทุน TESG รัฐคาดว่าจะเกิดการสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีแรก 3,000 ล้านบาท และในปีถัดๆไปปีละ 10,000 ล้านบาท
โดยมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยมีรายละเอียด ดังนี้
1.ให้ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับปีภาษี โดยผู้มีเงินได้ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 8 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน แต่ไม่รวมถึงกรณีทุพพลภาพหรือตาย ทั้งนี้ การซื้อหน่วยลงทุน เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 (วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ) ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2575 โดยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
2.ยกเว้นให้ผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะกรณีที่เงินหรือผลประโยชน์ดังกล่าวคำนวณมาจากค่าซื้อหน่วยลงทุนที่ได้รับสิทธิตามข้อ 1 และผู้มีเงินได้ถือหน่วยลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 8 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน แต่ไม่รวมถึงกรณีทุพพลภาพหรือตาย
ขณะที่กองทุนรวมออมหุ้นระยะยาว ที่จะนำมาลดหย่อนภาษีได้ในปัจจุบัน นอกจากกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG ) ยังมีอีก 2 กองทุน นั่นคือ กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund : SSF ) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) ทั้ง 3 กองทุนมีเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ทางภาษี ข้อดีและข้อด้อย แตกต่างอย่างไร “ฐานเศรษฐกิจ” สรุปให้ดังนี้
กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน : TESG
เป้าหมายการลงทุน :
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
- เงินลงทุนจากการซื้อหน่วยลงทุนนำมาลดหย่อนภาษีได้ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น
-
หากถือครบตามหลักเกณฑ์ ผลประโยชน์จากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุน ได้รับยกเว้นภาษี
ขายได้เมื่อไร
- ต้องถือหน่วยลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 8 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน (ยกเว้นกรณีทุพพลภาพหรือตาย)
เงื่อนไขอื่น ๆ
- ต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ( ห้างหุ้นส่วนสามัญ คณะบุคคล และกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง ไม่สามารถใช้สิทธิได้ )
กองทุนรวมเพื่อการออม : SSF
เป้าหมายลงทุน :
- ลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภท ( ตามนโยบายของกองทุนนั้น ๆ และตามความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ) อาทิในตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ สินทรัพย์ทางเลือกอาทิ ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ หรือจะเลือกกองทุนผสม ที่มีนโยบาลการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์ได้
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
- ลดหย่อนภาษีได้ โดยไม่กำหนดขั้นต่ำแต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีและไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ขายได้เมื่อไร
- ต้องถือหน่วยลงทุนให้ครบ 10 ปี แบบวันชนวัน นับตั้งแต่วันที่ซื้อหรือจนกว่าจะเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ และ “ไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี” เช่น กรณีซื้อกองทุน SSF เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2566 จะครบกำหนดวันที่ 1 ธ.ค. 2576 จะขายได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขในวันที่ 2 ธ.ค. 2576
ลงทุนขั้นต่ำ
- ไม่มีกำหนด และไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่อง
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : RMF
เป้าหมายลงทุน
- ลงทุนในสินทรัพย์ได้ทุกประเภท เช่นเดียวกับ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
- ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และเมื่อรวมกับสิทธิเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ขายได้เมื่อไร
- อายุครบ 55 ปี โดยต้องการลงทุนอย่างน้อย 5 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อ (นับแบบวันชนวัน) ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปีหรืออย่างน้อยคือ “ปีเว้นปี”
ลงทุนขั้นต่ำ
- ไม่มีกำหนด แต่ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี เว้นได้ไม่เกิน 1 ปี
หมายเหตุ : กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท เมื่อรวมกับการลดหย่อนภาษีจากสิทธิเพื่อการเกษียณอายุ 500,000 บาท (สิทธิเพื่อการเกษียณอายุได้แก่ กองทุน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ 500,000 บาท) จะลดหย่อนได้สูงสุดรวมเป็น 600,000 บาท จากเดิมสูงสุด 500,000 บาท