"สมศักดิ์" เล็งออกกฎหมายเป็น พ.ร.บ. หนุน อสม. มีค่าตอบแทนยั่งยืน
“สมศักดิ์” ปิ๊งไอเดียจับมือ “ปลัด สธ.” ออกกฎหมายให้ อสม.หวังมีค่าตอบแทน-มีความยั่งยืน หลังที่ผ่านมาไม่มีกฎหมายเฉพาะ ต้องใช้มติ ครม.อนุมัติค่าตอบแทนให้ เตรียมยกระดับ อสม. พร้อมเปิด “กุฏิชีวาภิบาลจังหวัดสุโขทัย” ช่วยดูแลพระสงฆ์อาพาธระยะท้าย เล็งขยายให้ครอบคลุม 12 เขตสุขภาพ
เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 67 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิด “กุฏิชีวาภิบาลจังหวัดสุโขทัย” โดยมี พระเทพวชิรเวที เจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย, นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ สส.สุโขทัย, นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกูล สส.สุโขทัย พรรคเพื่อไทย, พญ.ธัญญารักษ์ สิทธิวงศ์, นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย, ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข, อสม. และประชาชนกว่า 500 คน เข้าร่วม ที่วัดราษฎร์ศรัทธาราม ต.ทับผึ้ง อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย
โดย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ตนรู้สึกดีใจที่ได้เจอพี่น้อง อสม. โดยตนมีความภาคภูมิใจที่ได้อยู่กับกลุ่มคนที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชนให้มีอายุยืนยาว ซึ่งตนทราบว่า อสม.ทุกคนเหนื่อยในการดูแลผู้คน เพราะต้องการให้ทุกคนหลุดพ้นจากความเจ็บป่วย ดังนั้นตนจึงมีข่าวดีสำหรับ อสม.ทุกคน โดยตนได้หารือเบื้องต้นกับปลัดกระทรวงสาธารณสุขว่า จะช่วยออกกฎหมายเป็น พ.ร.บ.สำหรับ อสม. เพื่อให้ อสม.มีค่าตอบแทนและมีความยั่งยืน โดยไม่ต้องกังวลว่าในอนาคตจะได้เดือนละ 2,000 บาทหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีกฎหมายก็ต้องใช้มติคณะรัฐมนตรีในการอนุมัติ ซึ่งถ้าไม่ให้ อสม.ก็จะไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกฎหมายแล้วก็จะเกิดความยั่งยืน ดังนั้นตนจะช่วยผลักดันให้ อสม.เกิดความยั่งยืนต่อไป
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการกุฏิชีวาภิบาลของกระทรวงสาธารณสุขนั้นได้ดำเนินการเพื่อช่วยเหลือพระสงฆ์อาพาธ เพราะจากข้อมูลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปี 2564 มีพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 241,368 รูป ซึ่งพระสงฆ์ในจำนวนนี้มากกว่า 50% เป็นผู้สูงอายุ และมีพระอาพาธระยะสุดท้ายถึงจำนวน 9,655 รูป โดยที่ผ่านมาพระอาพาธติดเตียง หรือพระอาพาธระยะท้าย มีความประสงค์จะกลับวัด แต่สถานที่รองรับพระอาพาธมีน้อยมาก ซึ่งวัดก็ยังขาดบุคลากรผู้ดูแลประจำวัด รวมถึงญาติที่รับไปดูแลที่บ้าน ส่วนใหญ่ก็มักต้องลาสิกขา
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์จึงดำเนินโครงการกุฏิชีวาภิบาลตั้งแต่ปี 2567 ด้วยงบประมาณ 4.3 ล้านบาท เพื่อเป็นสถานที่ดูแลพระอาพาธระยะท้าย ซึ่งเริ่มต้นโครงการ มีการจัดตั้งกุฏิชีวาภิบาลต้นแบบแล้วจำนวน 5 แห่ง ดังนี้
1.วัดทับคล้อ จ.พิจิตร เขตสุขภาพที่ 3
2.วัดหนองกะพ้อ จ.สระแก้ว เขตสุขภาพที่ 6
3.วัดท่าประชุม จ.ขอนแก่น เขตสุขภาพที่ 7
4.วัดบุญนารอบ จ.นครศรีธรรมราช เขตสุขภาพที่ 11
5.วัดห้วยยอด จ.ตรัง เขตสุขภาพที่ 12
โดยโครงการมีเป้าหมายจัดตั้งกุฏิชีวาภิบาลให้ครอบคลุมทั้ง 12 เขตสุขภาพ ซึ่งโครงการนี้จะมีการพัฒนาศักยภาพพระคิลานุปัฏฐาก หรือพระดูแลปฐมพยาบาลเบื้องต้นในการช่วยดูแลพระอาพาธ โดยขณะนี้มีพระคิลานุปัฏฐากที่ผ่านมาอบรมแล้ว คือ หลักสูตรพระบริบาลภิกษุไข้ ระยะเวลา 35 ชั่วโมง จำนวน 10,13 รูป หลักสูตรกรมอนามัย ระยะเวลา 70 ชั่วโมง จำนวน 13,414 รูป และหลักสูตรการดูแลพระอาพาธระยะท้าย กรมการแพทย์ ระยะเวลา 140 ชั่วโมง จำนวน 363 รูป
“ส่วนที่ จ.สุโขทัย มีการเปิดกุฏิชีวาภิบาล ครบทั้ง 9 อำเภอ 11 แห่ง รวม 17 เตียงแล้ว และล่าสุดวันนี้มีการจัดตั้งกุฏิชีวาภิบาลอีก 1 แห่ง คือ ที่วัดราษฎร์ศรัทธาราม ต.ทับผึ้ง อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย จำนวน 4 เตียง ทำให้ปัจจุบัน จ.สุโขทัย มีกุฏิชีวาภิบาล จำนวน 12 แห่ง ครอบคลุมทั้ง 9 อำเภอ มี 21 เตียง ซึ่งถือว่าเพียงพอ เพราะขณะนี้มีพระสงฆ์อาพาธเพียงจำนวน 2 เตียง และมีการอบรมพระคิลานุปัฏฐากใน จ.สุโขทัย แล้ว 278 รูป นอกจากนี้ทางสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัยยังไม่นิ่งนอนใจ ได้มีการตรวจสุขภาพพระภิกษุสงฆ์แล้วจำนวน 1,802 รูป พบว่าเป็นกลุ่มปกติ 1,290 รูป กลุ่มป่วย 512 รูป และอาพาธติดเตียง 11 รูป จึงถือได้ว่าโครงการนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากที่จะช่วยรองรับดูแลพระสงฆ์ที่อาพาธติดเตียง หรือพระอาพาธระยะท้าย เพื่อให้มีคนดูแลโดยไม่ต้องถูกทอดทิ้ง” รมว.สาธารณสุข กล่าว.
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “สมศักดิ์” เล็งออกกฎหมายเป็น พ.ร.บ. หนุน อสม. มีค่าตอบแทนยั่งยืน
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
– Website : www.thairath.co.th
– LINE Official : Thairath