“พิธา” ฟังเสียงคนได้รับผลกระทบโกดังสารเคมีระยอง ปูด ได้ใบอนุญาตยุค คสช.
“พิธา” นำทีมพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ฟังเสียงชาวบ้านได้รับผลกระทบโรงงานเก็บกากสารเคมี จ.ระยอง ปูด ได้ใบอนุญาตตั้งแต่ยุค คสช. จนกลายเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ตัวแทนชาวบ้านโอดได้แต่ทำใจ ฝากหน่วยงานเร่งขนย้ายโดยด่วน
วันที่ 5 พฤษภาคม 2557 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางมายัง วัดหนองพะวา อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พร้อมด้วย นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง, นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี สส.บัญชีรายชื่อ และทีมงานพรรคก้าวไกล จ.ระยอง ลงพื้นที่รับฟังชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากควันไฟและสารเคมีของบริษัท วิน โพรเสส จำกัด โดยมีชาวบ้านและตัวแทนโรงเรียนที่อยู่โดยรอบเข้ามาสะท้อนปัญหา
ตัวแทนชาวบ้านคนหนึ่ง ระบุว่า อยากได้คำตอบว่าจะขนสารเคมีออกโดยทันที ไม่ต้องขอเวลาเป็นเดือนเป็นปี อยากได้คำตอบว่าจะขนเมื่อไหร่ ทุกวันนี้พวกตนเข้าบ้านไม่ได้ เหมือนคนเร่ร่อน ซ้ำยังไม่มีหน่วยงานใดที่เข้ามาตรวจสุขภาพให้กับคนในพื้นที่ว่าที่ผื่นขึ้นนี้เป็นเพราะอะไร ไม่มีการตรวจเลือด จึงขอฝากให้เป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะชาวบ้านทำได้อย่างเดียวในตอนนี้คือทำใจ หน่วยงานรัฐก็บอกว่าปกติ แล้วสุดท้ายเชื่อใครได้บ้าง
“นายอำเภอบอก 5 ชั่วโมงไฟดับ สุดท้ายเป็นอย่างไร ยังดับไม่ได้ ใครจะรับผิดชอบ นายอำเภอบอก 5 ชั่วโมงดับ ผมเลยนอนอยู่บ้าน เช้ามาควันพิษเต็มบ้าน อยากจะฝากตรงนี้เน้นๆ เลย” หลังกล่าวจบ ตัวแทนชาวบ้านคนดังกล่าวได้ขอให้ทุกคนยกมือเพื่อยืนยันว่า ทุกคนอยากให้ทางการรับปากว่าจะขนสารเคมีได้เมื่อไหร่ พร้อมกล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าเมฆฝนหรือสารเคมี ตนคิดว่าหน่วยงานรัฐควรจะพูดความจริง
ขณะที่ตัวแทนจากชาวบ้านอีกราย กล่าวเสริมว่า ถ้าพรรคการเมืองมารับฟังปัญหา พวกเราก็ดีใจ แต่ถ้ามาแบบสร้างกระแส คะแนนนิยม พวกเราก็เสียใจ ที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเหตุไม่มีหน่วยงานไหนเป็นเจ้าภาพหลัก ชาวบ้านต้องซื้อเอง เครื่องวัดอากาศก็เพิ่งมีตอนนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ ขอให้เอาความจริงมาพูด และวันที่นายกรัฐมนตรีมา ก็ไม่ได้พบชาวบ้านเลย ทางด้าน นายชุติพงศ์ ชี้แจงว่า การจัดกิจกรรมในวันนี้เป็นงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในส่วนการพัฒนาการเมือง ต่อมา นางสาวผ่องพรรณ เจริญรมย์ กำนันตำบลบางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ได้ยื่นเอกสารร้องเรียนและข้อเสนอแนะปัญหาที่ชาวบ้านรอบๆ โรงงานต้องเจอ ฉบับเดียวกับที่เคยยื่นให้นายกรัฐมนตรี
จากนั้น นายพิธา กล่าวกับประชาชนว่า วันนี้ตาได้เห็นแล้ว หูได้ฟังแล้ว ผิวก็ได้คันแล้ว จมูกก็ได้กลิ่นเหมือนกัน จะได้เห็นภาพและเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร การรวมพลังนี้สำคัญ พี่น้องที่ระยองไม่ได้เผชิญเรื่องนี้อยู่เพียงคนเดียว ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนลงพื้นที่มาแล้วเห็นภาพแบบนี้ แต่เคยเห็นแล้วที่ สมุทรปราการ สงขลา และพระนครศรีอยุธยา ได้เห็นฝนตกแล้วสารเคมีกำลังไหลเข้าโรงเรียน ตนตรวจสอบมาแล้วว่าเรื่องเป็นอย่างไร บริษัทเป็นอย่างไร กรรมการเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้ถือหุ้น เรื่องเกิดตั้งแต่ปี 2553 ได้ใบอนุญาตตั้งแต่ยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปี 2559 จนได้ใบอนุญาตในปี 2560 จนชาวบ้านต้องฟ้องร้อง ประชาชนมานั่งฟัง ตนต้องให้เกียรติ ทำการบ้าน จึงรู้ว่าโกดังมีอยู่ 5 โกดัง รู้ที่มาที่ไป
“หากผมวินิจฉัยได้ถูก จะได้แก้ถูก ถูกหรือไม่ แต่ถ้าผมมาถึงนิดๆ หน่อยๆ และผักชีไปผักชีมา ไม่รู้เลยว่าตกลงมันเป็นใคร อยู่ที่ไหน แล้วผมจะมีคำตอบให้คุณได้อย่างไร ผมเลยแสดงออกว่าผมเข้าใจอย่างไร”
นายพิธา สอบถามชาวบ้านว่าไฟไหม้ครั้งแรกใช่หรือไม่ พอ สส.ลงพื้นที่มาเกิดเลยใช่หรือไม่ ทุกวันนี้ไฟไหม้โรงงานกันเป็นประจำ ตนขอสรุปว่า ผลกระทบของการมีโรงงานแบบนี้ พอมีทหารเข้ามาเขาออกกฎระเบียบโดย คสช. ว่าโรงงานกำจัดขยะที่มีหลายประเภท สามารถทำได้ในทุกผังเมือง ไม่รู้สึกแปลกใจบ้างเลยหรือว่า โรงเรียน สถานดูแลเด็กอ่อน อยู่ข้างโรงงานได้อย่างไร ถ้าคนที่เขาบริหาร เขาจะรู้ว่าไม่ควรอยู่ด้วยกัน เพราะมันจะกระทบกัน แต่เพราะมีรัฐประหารเกิดขึ้นแบบนี้ มีคำสั่งแบบนี้ ทำให้ได้รับไปอนุญาต จนกลายเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้
นายพิธา กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องดิน น้ำ ลม ไฟ หน้าฝนกำลังจะมา ถ้าฝนตกใส่กองสารเคมีเหล่านี้จะก่อให้เกิดอันตราย คนที่เป็นนักการเมืองจะต้องรู้ เร็ว ช้า หนัก เบา ปัญหามีร้อยแปดพันเก้าอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยให้มันทุเลาลงด้วย วันนี้เอาเรื่องน้ำและไฟให้ทุเลาลง เพราะเรื่องดินและลมอยู่กับพวกเรามา 30 กว่าปีแล้ว ต้องค่อยๆแก้ ต่อมาต้องเยียวยา เพราะชาวบ้านไปฟ้องร้องโรงงานจนชนะคดีแล้ว แต่ก็ยังมีผลกระทบตามมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเรียงลำดับความสำคัญให้ได้
ส่วนเรื่องการขนย้ายสารเคมี ตนขอไม่พูดในฐานะนักการเมือง แต่พูดในฐานะชาวบ้านก็อยากให้ย้าย ใครจะไม่อยากให้ย้าย ตนเข้าไปเห็นกับตาใน 5 โกดัง ถ้าขนย้ายจะต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ไม่ใช่ขนย้ายแล้วเรี่ยราดกว่าเดิม จึงเสนอว่าให้คนที่เชี่ยวชาญเข้ามาดำเนินการ พร้อมมองว่าตามข้อเสนอขนย้ายภายใน 90 วันนั้นสามารถทำได้ แต่ต้องขนแบบมืออาชีพ อาจจะใช้งบถึงหลักร้อยล้าน แต่ไม่ขนแบบชุ่ยๆ ส่วนจะเอางบประมาณมาจากไหน จะให้ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ช่วยคิด เหลืออย่างเดียวคือเจตจำนงทางการเมืองว่าอยากช่วยประชาชนจริงหรือไม่ในการย้ายสารเคมีออก สุดท้ายเราจะเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส
“จากที่เข้าไปดูกากสารเคมี ตอนนี้ผสมกันเป็นแกงโฮะแล้ว หากเข้าไปขนแบบมั่วๆ มันจะมั่วไปใหญ่ เราต้องวางแผนแบบเป็นระบบ ผมเป็น สส.มา 5 ปี มีทุกจังหวัด ผมไปเขาไม่เผา พอผมกลับเท่านั้นเผาทันที แต่หารู้ไม่ว่าผมส่งรถกลับไป แต่ผมนั่งอยู่ร้านกาแฟ รอให้เขาเผา กลิ่นมา ผมถึงได้กลิ่น สิ่งเหล่านี้เป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความไม่เป็นประชาธิปไตย ที่พอคนออกใบอนุญาตได้ง่ายๆ เห็นนายทุนมากกว่า โดยที่ไม่เห็นหัวประชาชน ไม่เห็นสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม กลายเป็นว่าต้องกลับตามมาเช็ด 10 กว่าปีให้หลัง เป็นแบบนี้ตลอดเวลา”
ในตอนท้าย นายพิธา เผยว่า ในระยะยาวต้องมีนักการเมืองที่เข้าใจภาพใหญ่ด้วย ไม่เช่นนั้นต้องมาตามทีละจังหวัด สุดท้ายต้องมาคิดว่าต้นทุนในการกำจัดกากสารเคมีอุตสาหกรรมต่ำกว่าจ่ายส่วยและค่าปรับหรือไม่ ตนเชื่อว่าต้องยอมปรับ บางทีต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ ดังนั้นจะต้องมีการบริหารเรื่องพวกนี้ให้มีค่าใช้จ่ายถูกลง ค่าปรับต้องสูงและเอาจริง ก็จะเปลี่ยนสมการ มีอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง โดยไม่มีปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้สัปดาห์หน้ากรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร จะมีการประชุม ตนเช็กแล้วว่าโรงเรียนโดยรอบโรงงานขึ้นอยู่กับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จึงจะไปติดต่อเพื่อให้มาดูแลในเรื่องนี้ให้.
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “พิธา” ฟังเสียงคนได้รับผลกระทบโกดังสารเคมีระยอง ปูด ได้ใบอนุญาตยุค คสช.
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
– Website : www.thairath.co.th
– LINE Official : Thairath