นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจอยู่ไหน
ภาพประกอบข่าว
นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจอยู่ไหน
สัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นมีการขยายความของคนภาครัฐถึงสิ่งที่ผมได้เขียนไปเมื่อสัปดาห์ก่อนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินดิจิทัล โดยเฉพาะในส่วนของการเอาเงินของ ธ.ก.ส. 172,000 ล้านบาท มาใช้ โดยอ้างว่าเป็นมาตรการกึ่งการคลัง จึงไม่ใช่การกู้เงิน และจะไม่ผิดไปจากหลักการใช้เงินตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายการจัดตั้งธนาคาร
เนื่องจากธนาคารมีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือเกษตรกร รวมถึงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บุคคล กลุ่มบุคคล ในการสนับสนุนการประกอบอาชีพของเกษตรกร อันเป็นรายละเอียดตามมาตรา 9 ของพ.ร.บ. จึงไม่แปลกว่า การเลือก ธ.ก.ส. ให้เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่จะต้องสนับสนุนตามมาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ นั้น เพราะในจำนวนกลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการจำนวน 55 ล้านคน น่าจะมีเกษตรกร ที่สามารถอ้างอิงตามมาตรา 9 ของพรบ.ธกส. ได้ไม่เกิน 17.2 ล้านคน
ซึ่งจากการตรวจสอบฐานข้อมูลล่าสุดของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เรามีครัวเรือนเกษตรกรที่ลงทะเบียนไว้อยู่ 7.8 ล้านครัวเรือน และเกษตรกรที่ลงทะเบียนอยู่ที่ 8.9 ล้านคน ผมจึงเชื่อว่าหากพิจารณา 7.8 ล้านครัวเรือน ซึ่งรวมถึงบุคคลในครอบครัวด้วยทั้งหมด น่าจะไม่น้อยกว่า 17.2 ล้านคน เงินจึงน่าจะสามารถใช้จาก ธ.ก.ส. ได้หมด โดยไม่น่าจะขัดกับหลักการของกฎหมายแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี การใช้เงินเป็นการใช้ตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ถึงแม้จะเป็นมาตรการกึ่งการคลังก็ตาม รัฐมีหน้าที่จะต้องตั้งงบประมาณมาคืนเงินกู้ยืม และดอกเบี้ยให้กับ ธกส.ผ่านงบประมาณรายจ่ายต่อไปอีกหลายปีอย่างแน่นอน ก็จะทยอยกลายเป็นหนี้สาธารณะ ง่ายๆแบบนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน การเลือก ธ.ก.ส. ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่เลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมายได้
อย่างไรก็ดี อยากให้รัฐบาลตระหนักให้มากในสองประเด็น คือ การใช้มาตรการฟื้นฟู หรือมาตรการเยียวยาทางการคลัง เป็นความจำเป็นที่กระทำเพื่อแก้ปัญหาวิกฤต ภัยพิบัติ เฉกเช่นช่วงโควิด19 ที่หลายประเทศก็ทำกัน ไม่ว่าสหรัฐ อังกฤษ หากเป็นเช่นนั้นจะออก พ.ร.ก. ก็คงไม่มีใครว่าอะไร แต่จะเหมาะสมหรือไม่ในภาวะแค่เศรษฐกิจชะลอตัว โตไม่ทันศักยภาพ หากเป็นเหตุนี้ การกระจายหรือเพิ่มเงินให้ลงไปในระบบเศรษฐกิจ มันควรจะเป็นหน้าที่ของธนาคารชาติ หรือเปล่า เหมือนที่เขาทำกันทั้งในจีน ญี่ปุ่น สหรัฐ อังกฤษ หากธนาคารชาติไม่ยอมทำ ก็ควรต้องคุยกันให้รู้เรื่อง จะเปลี่ยนตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ควรหรือไม่ที่ไปทำหน้าที่แทนธนาคารชาติ
ภาพประกอบข่าว
อีกประเด็นหนึ่งคือ ลองไปประเมินผลล่วงหน้าด้วยแบบจำลองให้ดีๆครับว่าจะได้ผลขนาดไหน ย้อนไปดูสมัยพลเอกประยุทธ์ฯ ทำโครงการคนละครึ่ง ตอนนั้นกู้เงินโดยออกพ.ร.ก.มา ถึงหนึ่งล้านล้านบาท เป็นส่วนของการเยียวยาประมาณ 700,000 ล้านบาท ซึ่งรวมส่วนของคนละครึ่งสี่เฟสที่ใช้ไปประมาณ 387,822 ล้านบาท เป็นประมาณร้อยละ 78 ของโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล ไม่ต่างกันมากนักในจำนวนเม็ดเงิน จำนวนเงินต่อรายแทบจะใกล้เคียงกันคือ 9,200 บาท กับ 10,000 บาท และลักษณะก็จะออกมาคล้ายๆกันคือเป็นการกระตุ้นการบริโภคเป็นส่วนใหญ่ TDRI เคยประเมินผลว่าเงินจะหมุนได้อีก 1.85 เท่า ซึ่งถือว่าไม่เยอะเลย จากแบบจำลองที่นักวิชาการของพรรคเพื่อไทยเคยพูดถึงที่ 5-6 เท่า
สิ่งที่ผมอยากให้รัฐบาลกลับไปทบทวนนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาอีกครั้งว่าควรมีการปรับความจำเป็นเร่งด่วนอะไรบ้างไหม เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ เพราะตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ 7 เดือน ผมเห็นแต่รัฐบาลพูดถึงแต่โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล กับโครงการแลนด์บริดจ์ โครงการแรกเป็นโครงการเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ โครงการหลังเป็นโครงการพัฒนาการขนส่งของภูมิภาคเพื่อหารายได้เข้าประเทศ ซึ่งจริงๆแล้วมีข้อสังเกตจำนวนมากว่าไม่คุ้มค่าทางการเงินและเศรษฐศาสตร์
นอกเหนือจากสองโครงการใหญ่แล้ว ก็มีเรื่องการพัฒนาสนามบิน ล่าสุดเรื่องท่าเรือสำราญที่สมุย ซึ่งกรมเจ้าท่าก็เคยจ้างที่ปรึกษามาศึกษาแล้วว่าไม่คุ้มค่าทางการเงินเลย ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจก็ต่ำ พอท่านนายกฯอยากทำ ก็เออออไปด้วยโดยรวมๆสิ่งที่จะมีประโยชน์ชัดเจนน่าจะเป็นเรื่องของสนามบิน
ตามหลักการแล้ว การกระตุ้นกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ ไม่ใช่นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นมาตรการการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่การพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจ จะทำให้เห็นอนาคตว่าจะเดินไปในทางใด มูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศจะได้เติบโตตามไปได้
สิ่งที่รัฐบาลขาดอยู่ตอนนี้คือ นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจคืออะไร คือการทำให้เศรษฐกิจมีสมดุลดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับการกินดีอยู่ดีของประชากรมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดปัญหาด้านความเหลือมล้ำของประชากร ลดปัญหาการกระจุกตัวของความเจริญ ให้ความเจริญมีการกระจายตัว ด้วยการพัฒนาการค้าชายแดน การค้าส่วนภูมิภาค
รวมถึงโครงสร้างงบประมาณให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้และใช้จ่ายเหมาะสมกับรายได้ที่จัดเก็บมา การส่งเสริมการประกอบอาชีพเพื่อยกระดับรายได้ การพัฒนาอาชีพที่ขาดแคลน การเพิ่มจำนวนประชากรที่มีคุณภาพ (เพราะทิศทางประชากรของประเทศกำลังลดลง) การพัฒนาประเทศในมุมมองเป้าหมายของความยั่งยืน ที่เรียกว่า SDG เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งตัวอย่างที่รัฐควรต้องพิจารณาเพื่อยกระดับการผลิตของประเทศให้มีทั้งปริมาณและคุณภาพ มิเช่นนั้นเราจะล้าหลังเพื่อนบ้าน ตลาดหุ้นก็เป็นตัวสะท้อนว่าเขามองมูลค่าในอนาคตของเราอย่างไร
ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ กับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เราควรจะต้องทำควบคู่กัน ถ้าเราคิดแต่จะฟื้นฟูแต่ไม่พัฒนา เราจะกลายเป็นแก้ปัญหาแบบให้ปลาชาวบ้าน ไม่ใช่ให้เบ็ดไปตกปลา นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจจะต้องมีการบูรณาการความเกี่ยวข้องระหว่างกระทรวงทั้งหลาย เพราะบางเรื่องก่อให้เกิดผลกระทบในทางเศรษฐกิจอย่างวงกว้าง
เช่นปัญหาฝุ่นพิษ เกิดผลกระทบถึงการท่องเที่ยวในทางภาคเหนืออย่างวงกว้างมาก จะต้องร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ รวมไปถึงกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะต้องเข้าไปเจรจาให้ต้นตอการเผาหญ้า เผาป่าจากประเทศเพื่อนบ้านต้องยุติลงโดยเร็ว รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ที่จะต้องไปพิจารณาเสนอมาตรการตอบโต้ทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่จัดการเรื่องปัญหาต้นตอของฝุ่นมายังประเทศเรา
เรื่องนี้เป็นปัญหาเร่งด่วนมาก แต่ผมไม่เห็นมีใครทำอะไรที่จริงจัง อีกเรื่องที่ควรเริ่มและเร่งรัดมากๆได้แล้ว คือเรื่องการลดการผลิตคาร์บอนให้เป็นศูนย์ เรามีศักยภาพในการฝั่งกลบคาร์บอนมากกว่าเพื่อนบ้าน เพราะเรามีหลุมก๊าซธรรมชาติที่ว่างเยอะ เพื่อนบ้านไม่มี เราควรทำเรื่องนี้ให้เราเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ให้เขามาลงทุนที่บ้านเราเพราะเรามี Decarbonization Advantage ทุกวันนี้อุตสาหกรรมยุคก้าวหน้ากำลังหาพื้นที่ผลิตที่สามารถทำ Zero carbonization ได้
ผมกำลังจะบอกว่า รัฐบาลขาดนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่ไม่ค่อยอยากทำกันเพราะมันหาเสียงยาก แต่ถ้าพูดเป็น นำเสนอเก่ง ผมเชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจและเห็นด้วย ที่ท่านนายกพูดออกมาช่วงหลัง ก็ถือเป็นนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่เป็นการเน้นการพัฒนาการขนส่ง และตัวหลักที่พอจะฟังขึ้นก็คือการขนส่งในส่วนของสนามบินหลักของประเทศ นอกนั้นอย่างโครงการแลนด์บริดจ์ ก็เป็นการพัฒนาการขนส่งในภูมิภาค ซึ่งไม่น่าคุ้มค่าทางการเงินและเศรษฐกิจ และไม่ใช่ประตูการค้าโดยตรงเพราะ มา กับ ไป เท่ากัน ได้แค่ค่าผ่านทาง
คำถามคือ ทำไมไม่พัฒนาการขนส่งในภูมิภาคที่จะต้องเกิดประตูการค้าที่ประเทศไทย เช่น การพัฒนารถไฟไทยจีน ที่ริเริ่มไปแล้ว ที่มาจากจีน – ลาว แต่ยังไม่สามารถเชื่อมต่อที่ไทยจนถึงท่าเรือแหลมฉบัง ทำไมไม่เร่ง ทั้งๆที่หลายตอนก็เสร็จแล้ว จะทำให้เกิดกิจกรรมการถ่ายเปลี่ยนตู้สินค้าจำนวนมาก ย่อมทำให้เกิดการพัฒนากลุ่มสายเรือที่ท่าเรือแหลมฉบัง ย่อมทำให้เกิดการพัฒนาการค้าในอนาคตจำนวนมาก อย่าลืมว่าท่าเรือ กับ สายเรือ จะต้องพัฒนาควบคู่กันไป ไม่อยากจะบอกเลยว่า คุ้มค่ากว่าไปเร่งพัฒนาที่ EEC ที่จังหวัดระยองมาก ที่มันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์พลาดไปแล้ว เราไปพลาดซ้ำอีกทำไม
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจอยู่ไหน
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th