ชงแก้ กม.กลาโหม เข้มตั้งนายพล-ฟันทหารยึดอำนาจ สกัดรัฐประหาร?
ความเห็นนักวิชาการกรณีที่ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีข้อเสนอให้สภากลาโหมเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ. … และร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่…) พ.ศ. …
มีสาระสำคัญ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีคำสั่งให้พักราชการทันที เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ข้าราชการทหารผู้ใด ที่ใช้กำลังทหาร เพื่อยึดหรือควบคุม อำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาล หรือเพื่อก่อการกบฏ
รวมทั้งกำหนด เงื่อนไขการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล จะกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งแต่ละระดับไว้ 3 ประการ อาทิ ต้องไม่เคยมีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพล หรือมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้ามนุษย์ การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อม และยังเสนอให้ยกเลิกศาลจังหวัดทหาร
ภาพประกอบข่าว
โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยบูรพา
กรณีที่นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เสนอให้สภากลาโหมเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ. … และร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่…) พ.ศ. … ผมเห็นด้วย และมองว่าเป็นการเมืองที่ซับซ้อน โดยนายทักษิณ ชินวัตร วางแผนได้ดีมาก เนื่องจากนายทักษิณ มีความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาอำนาจเก่า ที่จะนำน้องสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับบ้าน แต่ระยะยาวแล้ว จะต้องวางแผนในการป้องกันการทำรัฐประหาร มีการทำแบบแนบเนียนมาก ที่ผ่านมาจะเห็นว่านายสุทินไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ตาเลย แต่พอจะปรับคณะรัฐมนตรี กลับมีการปล่อยของออกมา ถ้าหาก พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับเข้าสู่สภา เมื่อมีการปรับสุทินออกมา รมว.กลาโหม รวมทั้ง ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่มีผลในเชิงบวกกับฝ่ายประชาธิปไตย เห็นได้ว่ากองทัพกำลังถูกรุกคืบจากฝ่ายประชาชน
ด้านหนึ่งพรรคเพื่อไทยมีการต่อรองประนีประนอม โดยเปิดทางให้ฝ่ายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็น รมช.กลาโหม แต่อีกด้านหนึ่งแก้กฎหมายกระทรวงกลาโหม ทำให้มองได้ว่าด้านหนึ่งเป็นพันธมิตร และอีกด้านหนึ่งปฏิรูปกองทัพไปด้วย นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยรู้ดีว่า จะต้องมาร่วมมือกับพรรคก้าวไกล เพราะฉะนั้นจะต้องเปิดทางให้มีคะแนนนิยม และกระแสที่มาจากการปฏิรูปกองทัพด้วย เพราะไม่เช่นนั้นประชาชนจะมีความรู้สึกว่า ยังไม่ไว้ใจพรรคเพื่อไทย
หากมองว่า การออก พ.ร.บ.จะต้องใช้เวลา เพราะต้องผ่านสภา ผมว่าไม่จำเป็น เพราะถือว่ามีการตั้งเรื่องแล้ว จะต้องอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ ถ้าผ่าน พ.ร.บ.ได้ในสมัยนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนจะแก้รัฐประหารได้หรือไม่นั้น มองว่าแก้ไขไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ถือได้ว่ามีตัวแทนของประชาชนเข้าไปควบคุมกองทัพได้มากขึ้น โดยเฉพาะการโยกย้ายทหาร และยังสามารถควบคุมชนชั้นนำในกองทัพได้อีกด้วย ซึ่งจะทำอะไรไม่ได้ตามใจชอบอีกแล้ว เพราะมีประชาชนเข้าไปดูแลกองทัพ อาจกล่าวได้ว่าไม่สามารถป้องกันรัฐประหาร แต่ป้องกันการสืบทอดอำนาจของชนชั้นนำในกองทัพได้ระดับหนึ่ง
ที่ผ่านมาการรัฐประหาร มองว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นนำทั้งสิ้น ที่เสียผลประโยชน์กับอีกฝั่งหนึ่ง ประกอบกับฝ่ายชนชั้นนำไม่สามารถวางแผนทางการเมืองที่ชาญฉลาดกว่าได้ จึงต้องใช้วิธีการหักดิบในการแก้ไขปัญหา ช่วงหลังจะเห็นว่าการรัฐประหารส่วนหนึ่งจะมาจากการเรียกร้องของประชาชน ในเรื่องนี้มองว่า เป็นเรื่องของการสร้างความชอบธรรมมากกว่า โดยทำให้เห็นว่ามีความจำเป็น แต่ความจำเป็นเหล่านี้เป็นการสร้างขึ้นมาแทบทั้งสิ้น จากกลุ่มชนชั้นนำที่มีวาระซ่อนเร้นวางแผนไว้ก่อน มองได้จากการรัฐประหารปี 2557 ได้มีการวางแผนล่วงหน้า 3 ปีก่อนรัฐประหาร โดยฝ่ายทหารรู้ดีว่า การที่จะออกไปรัฐประหารทันทีไม่ได้ จะต้องสร้างความชอบธรรม พร้อมทั้งสร้างตัวละครขึ้นมา เพื่อให้มองว่าการรัฐประหารมีความชอบธรรม
การให้อำนาจในการโยกย้ายทหารของนายกรัฐมนตรี มองว่าเป็นการให้อำนาจเต็มกับนายกฯ ถือว่าสมควรแล้ว เนื่องจากนายกฯ เป็นตัวแทนของประชาชน ถ้ามองแล้วเห็นว่ากองทัพจะทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงควรให้อำนาจนายกรัฐมนตรีโยกย้ายได้ ซึ่งเป็นไปได้เพราะมีความชอบธรรม และสมควรที่จะแบบนี้มานานแล้ว ก็สามารถทำให้มีการยับยั้งการรัฐประหารได้ส่วนหนึ่ง หากพบว่าใครไม่ขานรับนโยบายของรัฐบาล และมีพฤติกรรมที่จะก่อรัฐประหาร หรือทหารบางคนมีแนวโน้มที่จะคอร์รัปชั่น ก็สามารถสั่งหยุดพัก หรือสั่งโยกย้ายได้อย่างเต็มที่ เหมือนกับการที่นายกรัฐมนตรีสั่งการในเรื่องของตำรวจ
ส่วนการยกเลิกศาลทหารจังหวัดมีนัยยะอย่างไรหรือไม่นั้น มองว่าในเรื่องนี้ได้มีการปฏิรูปกองทัพเกิดขึ้นแล้ว ทั้งที่ได้มีการประเมินว่าพรรคเพื่อไทยไม่กล้าแตะ อย่างไรก็ตาม ก็เกิดในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
การแก้ไขรัฐประหารไม่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เห็นว่าจะต้องมีตัวแทนภาคประชาชนเข้าไปกำกับดูแลกองทัพในการสั่งปลดโยกย้าย และต้องสร้างวัฒนธรรมการเมืองของผู้นำในกองทัพว่า ทหารจะต้องมีหน้าที่ดูแลในเรื่องของความมั่นคง ไม่ใช่มีหน้าที่ในการแทรกแซงทางการเมือง รวมทั้งจะต้องปฏิรูปกองทัพไม่ให้ยึดโยง กับชนชั้นนำที่เข้ามาแทรกแซงกองทัพ
ถ้าเปรียบเทียบกับการปฏิวัติในพม่า ถือว่าเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะพม่ามีการเมืองซับซ้อนมากกว่าประเทศไทย เนื่องจากมีชนกลุ่มน้อย กลุ่มชาติพันธุ์ จึงไม่มีการจัดการให้เป็นเอกภาพภายในได้ ที่สำคัญการเมืองของไทยคงไม่รุนแรงเหมือนกับพม่า
ส่วนการจะยุติบทบาทการรัฐประหารในประเทศไทย คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าจะทำก็จะต้องออกกฎหมาย ดังเช่นรัฐบาลที่กำลังทำในขณะนี้รวมทั้งจะต้องมีการปฏิรูปกองทัพ และต้องสร้างวัฒนธรรมการเมืองให้ชนชั้นนำ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา จะทำในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ได้
ภาพประกอบข่าว
วันวิชิต บุญโปร่ง
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ส่วนตัวมองว่า ในสิ่งที่นายสุทินได้นำเสนอมานั้นเป็นเรื่องที่พยายามผลักดัน เป็นสิ่งที่เป็นแนวทางประชาธิปไตยให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยให้กองทัพออกจากการเมือง หรือพยายามที่จะผลักดันกองทัพออกจากการเมือง พูดในทำนองว่าฝ่ายการเมืองต้องการให้กองทัพไม่ยึดติดกับอำนาจทางการเมืองที่ตนเองเคยครอบครองไว้มาอย่างยาวนาน ดังนั้นเพื่อให้การเมือง การทหารเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอันเป็นลักษณะเสรีนิยม และในทางสากลยอมรับได้ การวางกฎระเบียบในเชิงลักษณะการป้องปราม และบทการลงโทษที่ดูแข็งขัน เพื่อให้เกิดกฎหมายที่สามารถบังคับใช้ได้จริง
หลายๆ คนมักจะตั้งคำถามว่า เมื่อมีการประกาศออกมาเพื่อผลักดันได้แล้วจะสามารถทำได้จริงหรือไม่เพราะว่าทุกครั้งจะมีทั้งการห้าม หรือแม้กระทั่งสังคมกดดันในประเด็นเรื่องเวลามีการผลัดเปลี่ยนผู้นำเหล่าทัพใหม่ๆ ว่ากองทัพจะยึดอำนาจหรือไม่ จะมีการรัฐประหารหรือไม่ แม้ว่าทุกคนจะบอกว่า ไม่เคยคิด และจะไม่ทำแต่หลายครั้งหลายคราในวิกฤตทางการเมือง กองทัพถูกบังคับด้วยสถานการณ์จำยอม หรือการบังคับสิ่งใดก็ตาม ต้องมาทำรัฐประหาร ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เราเห็นได้ว่า มีการรัฐประหารไปกว่า 2 ครั้ง แม้ว่า รัฐประหารเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในสังคมไทยก็ตาม
ดังนั้นอยู่ที่จิตสำนึก การออก พ.ร.บ. ในเชิงลักษณะแบบนี้ขึ้นมา แน่นอนว่าเป็นการกล่อมเกลา และทำให้ผู้นำเหล่าทัพในอนาคตที่จะเกิดขึ้นตามมา เกิดการยับยั้งชั่งใจ และเกิดการยอมรับภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐบาลพลเรือน หรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้วางไว้ หากเกิดขึ้นได้ก็เป็นสิ่งที่ดีในอนาคตแน่นอน
การป้องปรามได้จริงหรือไม่นั้น อยู่ที่สถาบันผู้นำกองทัพอยู่ที่ว่าเขามีจิตสำนึก และยอมรับกระบวนการสร้างประชาธิปไตยของกองทัพยอมรับตัวเองหรือไม่ ต้องการสร้างประชาธิปไตยของประเทศไทยให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นมาได้ กระบวนการสร้างประชาธิปไตยให้เข้มแข็งเป็นสิ่งสำคัญ
ยกตัวอย่าง ผู้นำในประเทศปากีสถาน อดีตประธานาธิบดีปากีสถาน พลเอกเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ในสมัยที่ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุด ได้ถูกนายกรัฐมนตรีปลดกลางอากาศ แต่พลเอกเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ สามารถสั่งการยึดอำนาจจากเครื่องบินได้ ทั้งที่ตนเองนั้นได้ถูกปลดเรียบร้อยแล้ว ในบางประเทศที่มีสถาบันกองทัพที่มีความเข้มแข็ง และมีอิทธิพลทางการเมืองสูง ต่อให้อำนาจรัฐบาลพลเรือนมีอำนาจสั่งปลด สั่งเปลี่ยนแปลงได้มากแค่ไหน แต่ถ้าหากผู้นำเหล่าทัพไม่เอาด้วยก็เป็นสิ่งที่ยาก
ในการผลักดันกฎหมายตรงนี้อาจจะประสบความสำเร็จในแง่การก่อร่างสร้างตัว หรืออารมณ์ร่วมของคนว่า การรัฐประหารในสังคมไทยไม่ควรเกิดขึ้นอีก และเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ที่จะนำมาพูดคุย หรือปักหมุดว่า หากบ้านเมืองเกิดวิกฤต หรือภาวะเกิดทางตัน ทำไมไม่ปล่อยให้กระบวนการสถาบันทางการเมืองได้เกิดการแก้ไข การพัฒนาด้วยระบบกลไกของตัวมันเอง โดยมิต้องพึ่งพาหรือออกบัตรเชิญลักษณะพิเศษให้กองทัพมายึดอำนาจ กฎหมายนี้จะเป็นแซ่ป้องปรามเพื่อไม่ให้คนที่คิด หรือว่าอยากจะให้กองทัพกลับเข้าไปมีบทบาทในอิทธิพลทางการเมืองอีก
ดังนั้นยุคสมัยนี้เหมาะสมแล้วที่นายสุทินได้ผลักดัน เพราะว่าเป็นสิ่งที่บังเอิญว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดท่านก็มีความเป็นทหารอาชีพ มีมุมมองที่ทันสมัยเข้าใจบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และการทหารของความมั่นคงโลกได้อย่างดี เป็นสิ่งที่เหมาะสมในแนวทางผู้บัญชาการเหล่าทัพจะขานรับ เห็นถึงประโยชน์ และยอมรับว่าตนเองนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประชาธิปไตยให้เกิดความเข้มแข็งได้
ในความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีคำสั่งให้พักราชการทันทีเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ข้าราชการทหารผู้ใด ที่ใช้กำลังทหารเพื่อยึดหรือควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาลหรือเพื่อก่อการกบฏ ในลักษณะการป้องปรามเช่นนี้สามารถทำได้ เป็นลักษณะทำกฎหมายให้เป็นลายลักษณ์อักษร นำไปสู่การพิจารณาหรือกำหนดกฎเกณฑ์อีกครั้ง
ในส่วนประเด็นที่มีการยกเลิกศาลทหารระดับจังหวัดนั้น แน่นอนว่าประเทศที่กองทัพยอมรับพลเรือนมากขึ้น ศาลทหารจะถูกยก และยุบอำนาจลง ให้กำลังพลที่ประพฤติไม่เหมาะสมเข้าสู่ศาลพลเรือน ซึ่งเป็นภาวะปกติของประเทศที่กำลังทำให้ประชาธิปไตยมีความเข้มแข็ง และกองทัพฐานอาชีพมากยิ่งขึ้น จึงมองว่าเป็นเรื่องปกติ การลดทอนในสิ่งที่ไม่จำเป็น อย่างศาลทหารที่กล่าวมาข้างต้น
ทั้งนี้ มีเรื่องที่น่าเสียดายหากนายสุทินถูกปรับออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตามข่าวลือที่ออกมานั้น เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่นายสุทินไม่ทำต่อ แสดงว่ากระทรวงกลาโหมเราขาดการพัฒนาสถาบันทางการเมืองอย่างมีความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่องไม่ได้ เพราะว่าหากใครที่จะมานั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หากเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นคนที่สวมหมวกอีกใบเท่านั้น จึงจะมาควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ หรือในอีกลักษณะหนึ่ง คนที่จะมานั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องเป็นอดีตนายพลเท่านั้น
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย หากนักการเมืองพลเรือนที่ไม่ได้มีหมวกใบใดใบหนึ่งสวมอยู่ จะต้องถูกปรับออก จะทำให้รู้สึกเกิดภาพที่น่ากังวลใจว่า ในอนาคตกระทรวงกลาโหมจะเป็นกระทรวงที่เป็นลักษณะพิเศษ คนที่จะมานั่งต้องมีคุณสมบัติใน 2 อย่างที่กล่าวมาข้างต้นนั้นจึงเป็นเรื่องที่ปิดโอกาสนักการเมืองหนุ่มสาวในอนาคตที่เขาต้องการได้รับความไว้วางใจหรือไม่ ในการพัฒนาปรับปรุงกระทรวงกลาโหมในงานมิติความมั่นคงให้มีความเข้มแข็งขึ้น จะเป็นเรื่องน่าเสียดายหากนายสุทินไม่ได้สานงานอย่างต่อเนื่อง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ชงแก้ กม.กลาโหม เข้มตั้งนายพล-ฟันทหารยึดอำนาจ สกัดรัฐประหาร?
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th