"บิ๊กโจ๊ก" มีสิทธิเป็น ผบ.ตร. ตั้งข้อสังเกตปมกฤษฎีกาสั่งบิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการ
"บิ๊กโจ๊ก" มีสิทธิเป็น ผบ.ตร. ตั้งข้อสังเกตปมกฤษฎีกาสั่งบิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการ
ในช่วงนี้ แน่นอนว่าเรื่องราวในวงการตำรวจถูกพูดถึงมากมาย โดยเฉพาะอนาคตของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือ "บิ๊กต่อ" และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ "บิ๊กโจ๊ก" หลังจากที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แถลงผลการสอบสวนของทั้งสองรายเป็นที่เรียบร้อย
โดยนายกรัฐมนตรี ได้สั่งคืนเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ส่วน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องรอผลสอบกรณีมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยต้องพิจารณาว่ามีการทำเรื่องถูกต้องตามขั้นตอนทางกฎหมายหรือไม่
เปิดผลสอบคืนตำแหน่ง "บิ๊กต่อ" ส่วน "บิ๊กโจ๊ก" รอข้อสรุปคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมตำรวจ
โอละพ่อ! ลูกน้อง“บิ๊กโจ๊ก”เอง ปลดป้ายพร้อมขนของออกจากสำนักงาน
“บิ๊กโจ๊ก” ยืนยันความบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้องเว็บพนัน โยนทนายแจงปมหมายเรียก
ทั้งนี้เพราะตามมาตรา 132 พ.ร.บ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ได้เพิ่มไว้มาตราหนึ่งว่า กรณีที่สั่งให้ตำรวจออกจากราชการไว้ก่อนไปกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของบุคคลนั้น เช่น เงินเดือน หรือ สิทธิการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง จะต้องกระทำโดยคำแนะนำจากคณะกรรมการสอบสวน แต่การให้ออกของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้ผ่านขั้นตอนดังกล่าว จึงถือว่าผิดขั้นตอน กระบวนการไม่ถูกต้อง
ด้วยเหตุนี้ หากพบว่าคำสั่งย้าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องคืนตำแหน่งให้ และที่สำคัญ "อาจจะยังมีสิทธิเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่ง ผบ.ตร." ด้วย เรื่องนี้ทำให้กลายเป็นที่จับตาว่า ศึกบิ๊กตำรวจจะจบลงอย่างไรกันแน่
กระทบสิทธิ เหตุเสนอ "บิ๊กโจ๊ก" นั่งผบ.ตร.ไม่ได้
พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ที่ปรึกษากฎหมายของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กล่าวในรายการเข้มข่าวเย็น ช่วง Exclusive Talk ระบุว่า ตามที่ทีมกฏหมายของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยื่นอุทธรณ์ไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ว่าเป็นการออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากการให้ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนในมาตรา 120 วรรค 4 ที่กฤษฎีกาตีความออกมา ระบุว่า การจะให้ออกจากตำแหน่งต้องผ่านคณะกรรมการสอบสวนเพื่อกลั่นกรองก่อนตัดสินใจลงโทษ
ใน พรบ.ตำรวจใหม่จะมีให้เราเห็นอยู่ 2 อย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ได้แก่ มาตรา 60 อนุ 4 คือการดำเนินการต้องดูเรื่องอคติเป็นสำคัญ และมาตรา 125 ที่ระบุชัดเจน เชื่อมโยงกับมาตรา 120 วรรค 4 ระบุว่า ผู้ที่ออกคำสั่งมีหน้าที่ออกคำสั่งอย่างเดียว เพื่อไม่ให้มีคำว่าอคติ เราจะเห็นว่าเจตนารมณ์ในเรื่องนี้คือ เพื่อไม่ให้ผู้บังคับบัญชาใช้อคติส่วนตัวตัดสินใจ
ซึ่งถ้ามาตรา 120 วรรค 4 ไม่มีผลบังคับใช้ แม้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกให้ออกจากราชการ ก็จะไปกระทบสิทธิในการขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ไม่ได้ ถ้าจากการตีความกฎหมายว่า สามารถใช้มาตรา 131 ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ 120 วรรค 4 ตนมองว่ามาตรา 120 วรรค 4 ไม่จำเป็นต้องเขียนก็ได้
โดยมาตรา 120 วรรค 4 ระบุว่า ระหว่างการสอบสวน จะนำเหตุแห่งการถูกสอบสวนมาเป็นข้ออ้างในการดำเนินการใด ให้กระทบต่อสิทธิของผู้ถูกสอบสวนไม่ได้ เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งพักราชการ หรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการการสอบสวน
ซึ่งถ้าหากมองว่ากระทบสิทธิ แปลว่าขณะที่ออก สามารถเสนอให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ได้ แต่สุดท้ายไม่สามารถเสนอได้ เพราะมองว่าเป็นการกระทบสิทธิ
กระทั่งคณะกรรมการสอบสวนเสนอ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการ โดยรัฐธรรมนูญระบุว่า การเสนอให้พักราชการหรือให้ออกจากราชการ ต้องให้คณะกรรมการสอบสวนประชุมและมีข้อเสนอเพื่อพิจารณาก่อน เพราะอาจมีอะไรซ่อนอยู่ก็ได้
สั่งบิ๊กโจ๊กออกจากราชการ (ไม่) ชอบด้วยกฎหมาย?
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า กฎหมายมาตรา 120 วรรค 47 ที่อ้างว่าไปกระทบสิทธิ ให้ย้อนมาดูวรรคแรกก่อนว่าเป็นอย่างไร และระยะเวลาการสอบสวน ให้ไปดูมาตรา 120 วรรค 3 เนื่องจากเมื่อกระทำความผิด มาตรา 131 ระบุว่า ให้อำนาจผู้บังคับบัญชาในการปกครองในการให้ออกได้เลย คำถามคือทำไมถึงเลือกใช้ มาตรา 120 วรรค 4 ไม่เลือกใช้มาตรา 120 วรรค 3
สมมติมีตำรวจไปยิงคนตาย จะต้องรายงานตัวต้องคดี ผู้บังคับบัญชาก็รายงานผล พบเป็นความผิดชัดแจ้ง ถือเป็นความผิดวินัยร้ายแรง ถูกต้องหาคดีอาญาแล้ว ผู้บังคับบัญชาสามารถให้ออกจากราชการได้เลย คำถามคือ จำเป็นต้องมาใช้มาตรา 120 วรรค 4 หรือไม่ หรือเราให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากตำแหน่งไม่ได้เพียงแค่คนเดียว ไม่ได้บังคับใช้ทั้งหมด
พล.ต.ต.วิชัย กล่าวต่อว่า กฎหมายแต่ละมาตรา จะมีอำนาจในแต่ละมาตรา โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ถ้าจะเกี่ยวข้องกัน ต้องใช้คำว่า ตามบทบัญญัติของกฎหมายเท่านั้น และต้องไปดูว่า มาตรา 120 กับมาตรา 131 มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ เพราะฉะนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ สามารถใช้มาตรา 131 ได้เดี่ยว ๆ ซึ่งหากมีความเกี่ยวข้องกันก็จะระบุชัดเจน เช่น มาตรา 117, 119, 126, 127 และอื่น ๆ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับมาตรา 131
ด้าน พล.ต.ต.ไพโรจน์ กล่าวว่า กรณีที่ทำไมไม่เลือกใช้ มาตรา 120 วรรค 3 เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่ใช่ความผิดชัดแจ้ง เช่น กรณีขาดหนีราชการ ที่สามารถลงโทษได้เลย ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาคดีอาญาไม่ถือเป็นความผิดชัดแจ้ง และกรณีที่มีการตั้งกรรมการสอบสวน โดนกล่าวหาอาญา ถือว่าไม่ชัดแจ้ง เป็นคนละกรณีกัน
พล.ต.ต.ไพโรจน์ กล่าวต่อว่า การอุทธรณ์มี 3 ขั้นตอน หาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เห็นว่าตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งข้อสังเกตมา หากไม่เห็นด้วยก็ให้ยกเลิกคำสั่งให้ออกได้ ขั้นตอนที่สองก็จะเป็นของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) หาก ก.พ.ค. เห็นว่าคำสั่งนี้ไม่ชอบตามที่กฤษฎีกาตีความ ก็ให้ถือว่าสิ้นสุด สามารถกลับมาเป็นแคนดิเดตตำแหน่ง ผบ.ตร. ได้ แต่หากเห็นว่าสามารถใช้มาตรา 131 ได้ ก็จะเข้าสู่กระบวนการศาลปกครองสูงสุดต่อไป
ข้อสังเกตคณะกฤษฎีกา ปมสั่งบิ๊กโจ๊กออกจากราชการ
พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า การที่ นายวิษณุ ผู้เป็นเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาในเรื่องนี้ พูดถึงเรื่อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นหลัก แต่ไม่พูดถึงเรื่องการตั้งคณะกรรมการสอบสวน รวมถึงผลการพิจารณาต่าง ๆ และมีการให้ข้อสังเกต คำถามคือ ทำไมต้องเขียนข้อสังเกตแถมมาด้วย อีกทั้งแถลงการณ์ดังกล่าว ไม่บอกผลการสอบสวน แต่มากล่าวถึงเรื่องข้อสังเกตเป็นหลักแทน
การที่นายวิษณุอ้างให้ใช้ข้อสังเกต แล้วมาอ้างอีกว่ากฤษฎีกา 10 ท่านเห็นด้วย แต่ทำไมไม่เขียนมาตั้งแต่แรก อีกทั้งกฤษฎีกาไม่สามารถให้ความคิดเห็นหรือตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องการสอบสวนไม่ได้ คำถามคือ แถมมาทำไม
พล.ต.ต.วิชัย กล่าวต่อว่า การนำข้อสังเกตมาตั้งไว้ ทำให้เกิดปัญหา เนื่องจากการนำข้อสังเกตมาเป็นที่ตั้ง ทำให้ไม่มีใครกล้าทูลเกล้าฯ ปลด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งตามหลักกฎหมายมาตรา 140 แล้ว นายกรัฐมนตรีสามารถปลด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้เลย เพียงแต่ให้ใช้ความรอบคอบ และหากตำรวจบอกว่ารอบคอบแล้ว เราจำเป็นต้องย้อนมาที่ข้อสังเกตหรือไม่
ที่ตนมาพูด พูดตามหลักกฎหมาย ส่วนวิธีการจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของวิธีการ ที่ตนออกมาพูดเพราะต้องการเป็นตัวอย่างให้ทุกหน่วยงาน เวลาที่เขาจะให้ บิ๊กโจ๊ก ออกจากราชการ ต้องมีเหตุมีผลแต่ละข้อ และต้องดูว่าจะเอาอะไรไปลบเหตุ เช่น หากระบุว่าผิดวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ออกมาบอกว่าที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เขียนมานั้นผิด ก็ไม่สามารถทำได้
พล.ต.ต.วิชัย กล่าวต่อว่า ข้อหาต้องหาคดีอาญา ก็ไม่สามารถเขียนว่าถูกกลั่นแกล้งในการสอบสวนก็ไม่ได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการสอบสวนของ ป.ป.ช. เมื่อการยกเลิกไม่สามารถทำได้ ก็ต้องไปอยู่ในกระบวนการของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม
ด้าน พล.ต.ต.ไพโรจน์ กล่าวว่า นายวิษณุว่าตามมาตรา 140 ส่วนการแถมข้อสังเกตนั้นมีการดำเนินการมาตลอดอยู่แล้ว ส่วนมากเรื่องที่แถมมาจะเป็นเรื่องของแนวทางปฏิบัติ ไม่ใช่ข้อกฎหมาย ซึ่งข้อสังเกตนั้นหมายความว่า การที่จะทูลเกล้าฯ ต้องตรวจสอบให้รอบคอบด้วยความถูกต้องก่อนเสนอ และตามมาตรา 140 ตั้งแต่รอง ผบ.ตร. ขึ้นไป หากแต่งตั้งต้องเสนอโปรดเกล้าฯ จึงจะพ้นจากตำแหน่ง เพราะฉะนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ยังต้องเป็น รอง ผบ.ตร. อยู่
และหาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. อยู่ตราบใดที่ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ก็จะยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ คณะกฤษฎีกา เลยระบุว่า ต้องทูลเกล้าฯ เพราะตามมาตรา 140 กฎหมายบัญญัติไว้ จะไปฝ่าฝืนไม่ได้ นี่คือข้อสังเกตที่ระบุไว้ และข้อสังเกตนี้คือข้อกฎหมาย ซึ่งถือเป็นสาระสำคัญ เชื่อว่าถ้าคณะกรรมการกฤษฎีกาออกมาในลักษณะนี้ เชื่อว่านายกรัฐมนตรีไม่กล้าทูลเกล้าฯ
พล.ต.ต.ไพโรจน์ กล่าวต่อว่า กรณีนี้ นายกรัฐมนตรีมีสิทธิ์ที่จะเสนอ และถือเป็นหน้าที่ด้วย ถ้าเห็นว่าตรวจสอบรอบคอบแล้ว ถูกต้อง ก็สามารถเสนอได้เลย แต่ตอนนี้ถ้านายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่ฟังข้อพิจารณา นายกรัฐมนตรีก็ต้องรับผิดชอบเอง ตามสิทธิ์ตามหลักกฎหมายสามารถกลับมาได้ ตนไม่เชื่อว่าการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนจะตีความโดยผิดเจตนารมณ์และผิดจากหลักของกฎหมาย