SABUY มั่นใจพันธมิตรใหม่เสริมแกร่งธุรกิจ
คณะกรรมการ บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีมติอนุมัติให้เสนอต่อผู้ถือหุ้นของ SABUY เพื่ออนุมัติออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 2,547 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท แบ่งเป็น
- จำนวน 1,610 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงให้กับบุคคลในวงจำกัด (Private Placement:PP) ในราคาหุ้นละ 1.00 บาท รวมมูลค่า 1,610 ล้านบาท ให้แก่ บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AJA จำนวน 700 ล้านหุ้น กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ลอคบอกซ์ กรุ๊ป จำกัด หรือ LOCKBOX จำนวน 360 ล้านหุ้น และนักลงทุนอื่นๆ อีก 550 ล้านหุ้น
- จำนวน 850 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะจัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด ให้แก่นักลงทุน และกลุ่มพันธมิตร ในราคาใช้สิทธิ 1.20 บาท
- จำนวน 87 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะจัดสรรให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ของบริษัทและบริษัทย่อย (ESOP) ในราคาใช้สิทธิ 1.20 บาท ซึ่งหลังจากการเสนอขาย PP จะทำให้ AJA เข้ามาเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วน 21.33% และในสัดส่วน 16.59% หากมีการใช้สิทธิแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญและ ESOP
นายวิรัช มรกตกาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า แผนการเพิ่มทุนและปรับโครงสร้างทางธุรกิจของ SABUY เกิดจากความสนใจจากกลุ่มผู้ถือหุ้นของ บริษัท ลอคบอกซ์ กรุ๊ป จำกัด หรือ LOCKBOX ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ SABUY มาตลอด และเล็งเห็นศักยภาพของ SABUY โดยกลุ่มผู้หุ้น LOCKBOX ได้ดึงพันธมิตรอื่นๆ ทั้งที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจ และที่เข้ามาเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน
นายวิรัช มรกตกาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)
“กลุ่ม LOCKBOX เล็งเห็นว่า การมีผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง AJA จะช่วยเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้กับ SABUY อีกทั้ง สามารถสร้างประโยชน์ร่วมกันในเรื่องช่องทางการขายและบริการ และยังมีส่วนช่วยสนับสนุนงานดูแลและพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆ ของ SABUY ไม่ว่าจะเป็นตู้เติมเงิน ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ”
สำหรับการเข้าทำรายการลงทุนในหุ้นสามัญของ LOCKBOX โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงให้กับผู้ถือหุ้นของ LOCKBOX จะทำให้ SABUY ถือหุ้นใน LOCKBOX เพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 20% เป็น 100% ซึ่งนอกจากได้ประโยชน์จากการรับรู้ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ LOCKBOX แล้ว ยังสอดรับกับแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของ SABUY ที่ต้องการขยาย touch points ซึ่งมีศักยภาพทั้งด้านข้อมูลและสื่อโฆษณา
ขณะเดียวกัน SABUY และ LOCKBOX ยังสามารถทำงานร่วมกันทั้งด้านเทคโนโลยี และการดูแลซ่อมบำรุง เนื่องจากมีทีมงานที่มีประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งทั้ง SABUY และ LOCKBOX เองเล็งเห็นประโยชน์จากการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และการประหยัดต่อขนาด หรือ economies of scale
ในส่วนของทีมงานของ LOCKBOX จะเข้ามาร่วมกับทาง SABUY ทางคุณอิทธิชัย พูลวรลักษณ์ เองก็จะเข้ามาเป็นผู้บริหารระดับสูงในกลุ่ม SABUY เพื่อมีส่วนช่วยพลิกโฉม และนำการเปลี่ยนแปลงที่ดีมาให้กับ SABUY
สำหรับนักลงทุนท่านอื่นๆ ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนแผนการเพิ่มทุนครั้งนี้ แม้จะไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหาร และ/หรือ มีส่วนช่วยสนับสนุนธุรกิจโดยตรง แต่ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น และเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านการเงินให้กับ SABUY
“SABUY เองมองว่า การเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งของพันธมิตรและการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะช่วยให้ SABUY ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ ซึ่ง SABUY มีเป้าหมายที่จะนำเงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้มาใช้เป็นเงินทุนสำรองสำหรับการชำระคืนเงินกู้ และหุ้นกู้ และบางส่วนรองรับเงินทุนหมุนเวียน”
นอกจากนั้น SABUY ยังมีแผนเดินหน้าในการเสริมสร้างกระแสเงินสดเพิ่มเติม และลดภาระดอกเบี้ยจ่ายด้วยการขายธุรกิจ หรือเงินลงทุนบางส่วนซึ่งไม่กระทบต่อธุรกิจหลัก หรือ ecosystem ของ SABUY ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีเงินกู้สถาบันการเงินอยู่ที่ประมาณ 1.3 พันล้านบาท และมีหุ้นกู้ที่ยังไม่ครบกำหนดชำระจำนวน 4.0 พันล้านบาท
นอกเหนือจากความร่วมมือกันกับพันธมิตร ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเดิมที่มีอยู่เติบโตได้อย่างมั่นคง และช่วยส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาด SABUY ยังคงให้ความสำคัญในจุดเดิมซึ่งคือกลุ่มคนรากหญ้าที่ไม่สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่หลากหลายได้ โดย SABUY และบริษัทในเครือ เป็นผู้ให้บริการตู้เติมเงินจำนวนไม่ต่ำกว่า 46,000 เครื่องทั่วประเทศ เป็นเจ้าของและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติมากกว่า 10,000 ตู้ มีแฟรนไชส์ร้านรับส่งพัสดุมากกว่า 24,000 แห่งทั่วประเทศ เป็นผู้ผลิตบัตรพลาสติกประเภทต่างๆ เป็นผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการให้กับศูนย์อาหาร ร้านอาหาร และร้านค้าปลีก และยังเป็นผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ อีกด้วย
นายพิชัย ปัญจสังข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า AJA มองเห็นศักยภาพของ SABUY และ synergies ในหลากหลายมิติที่ทั้งสองบริษัทจะสามารถมีส่วนช่วยกันสนับสนุนให้มีการเติบโตยั่งยืน ทั้งยอดขาย การควบคุมค่าใช้จ่าย และเพิ่มความสามารถในการทำกำไร AJA เองมีความสัมพันธ์กับทาง SABUY มากกว่า 10 ปี ส่งผลให้การทำงานร่วมกันสามารถเกิดประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน AJA ประกอบธุรกิจครอบคลุม 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย
- ธุรกิจจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า (AJ EV BIKE) จักรยานไฟฟ้า รวมถึงการให้เช่า จำหน่ายและให้บริการแบตเตอรี่
- ธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ (Bitcoin Mining) และการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
- ธุรกิจร้านค้าภายใต้แบรนด์ The Outlet Pro จำหน่ายรองเท้ากีฬา ชุดกีฬา และอุปกรณ์ กระเป๋าอื่นๆ ภายใต้ชื่อบริษัท แฮปปี้ วิชั่นส์ จำกัด (HAPPY)
- ธุรกิจการเป็นตัวแทน และให้บริการสมัครสมาชิกอาลีบาบา (Alibaba) ในประเทศไทย ภายใต้ชื่อบริษัท เอเจ อีคอมเมิร์ช จำกัด (AJE)
- ธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์เคมี ภายใต้ชื่อบริษัท เอเจ เอกเกษตร จำกัด (AJK)
- ธุรกิจอื่นๆที่ต่อยอดโอกาสในอนาคต โดย AJA มุ่งเน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน พร้อมปรับกลยุทธ์รองรับความท้าทายใหม่ๆ ในโลกธุรกิจปัจจุบัน
นายอิทธิชัย พูลวรลักษณ์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลอคบอกซ์ กรุ๊ป จำกัดกล่าวว่า LOCKBOX เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจตู้ฝากของอัตโนมัติในประเทศไทยที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้มากกว่า 50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง จากจุดให้บริการ 150 แห่ง ด้วยจำนวนธุรกรรมมากกว่า 160,000 รายการต่อเดือน
SABUY เข้าถือหุ้น 20% ใน LOCKBOX ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 ด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกันและทำงานร่วมกันมาเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว LOCKBOX เองเล็งเห็นศักยภาพในความแข็งแกร่งด้าน ecosystem ของ SABUY ซึ่งมี touch points กว่า 100,000 จุดทั่วประเทศ สามารถนำมาต่อยอดกับธุรกิจของ LOCKBOX ในปัจจุบันได้