หมอหัวใจ เตือนวัย 50 ขึ้นไป ระวังโรค "หัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว" แบบไม่รู้ตัว เสี่ยงเป็น "สโตรก"
ภาพประกอบข่าว
หมอหัวใจ เตือนสูงวัย 50 ปีขึ้นไป ระวังโรค “หัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว” แบบไม่รู้ตัว เสี่ยงเป็น “สโตรก” แนะคัดกรองก่อนสาย
วันที่ 26 มิ.ย. 2567 นพ.วิพัชร พันธวิมล อายุรแพทย์โรคหัวใจ-สรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ ศูนย์โรคหัวใจ และทรวงอก โรงพยาบาลนวเวช กล่าวว่า ถ้าหากพูดถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ปัจจุบันยังใช้เกณฑ์ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป เริ่มพบแนวโน้มของการป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น ความชุกของโรคในประชากรไทยอยู่ที่ 500 ต่อแสนประชากร
นพ.วิพัชร กล่าวต่อว่า ถ้าเจาะเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ความชุกจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,400 ต่อแสนประชากร ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่ากลุ่มประชากรทั่วประเทศถึง 3 เท่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้พบผู้ป่วยมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีในการตรวจคัดกรองทำได้ดีขึ้น และประชาชนก็เริ่มมีความใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นเช่นกัน
นพ.วิพัชร กล่าวอีกว่า สำหรับโรคหัวใจที่พบได้มากในผู้สูงอายุ หลักๆ จะมี 2 โรค คือ 1.โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดจากอายุที่มากขึ้น ภายในหลอดเลือดก็จะมีตะกรันเข้าไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด อายุมากขึ้นก็จะยิ่งหนาขึ้น ยิ่งถ้าผู้ป่วยมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง ก็จะยิ่งทำให้ตะกรันในหลอดเลือดหนาตัวเร็วขึ้น ทำให้หลอดเลือดตีบตัน ซึ่งจะเกิดในลักษณะเรื้อรัง
แต่จะมีอีกกลุ่มโรคหัวใจที่เกิดขึ้นในลักษณะเฉียบพลัน คือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน เกิดจากผนังหลอดเลือดเกิดการปริแตก ซึ่งเกิดได้ทั้งผู้สูงอายุและคนอายุน้อย เมื่อมีการปริแตก ก็ส่งผลให้เกร็ดเลือด เซลล์เม็ดเลือด เข้าไปจับบริเวณที่มีการปริแตก จากนั้นก็จะเกิดการรวมกันเป็นลิ่ม ส่งผลให้เกิดภาวะ Heart Attack หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือขาดเลือดเฉียบพลัน ทำให้ผู้ป่วยจะเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ จนหมดสติได้
และ 2.โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation หรือ AF) สาเหตุหลักเกิดจากอายุที่มากขึ้น ผนังหัวใจห้องบนจะเริ่มเกิดพังผืดเล็กๆ เป็นหย่อมๆ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นสารตั้งต้นในการชักนำให้เกิดพายุไฟฟ้าเล็กๆ แล้วแตกออกมาเป็นวงย่อยๆ เป็นพันๆ ลูก ดังนั้น หัวใจห้องบนจะเต้นเร็วมาก มองด้วยตาไม่ทัน ทำให้เกิดเป็นภาพพลิ้วไหว โดยโรคนี้พบได้มากในผู้สูงอายุ ความอันตรายของโรคคือ ผู้ป่วยกว่าร้อยละ 70 ไม่มีอาการ จะมาพบแพทย์ก็ตอนที่มีอาการที่มีลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด หรือลิ่มเลือดอุดตันในสมอง ที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “โรคหลอดเลือดสมอง” หรือสโตรก (stroke) ดังนั้น การจะวินิจฉัยโรคได้ก็เมื่อเกิดโรคไปแล้ว
นพ.วิพัชร กล่าวต่อว่า อาการของผู้ป่วยกลุ่มโรคหัวใจ จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการแล้วเข้ามาพบแพทย์ และ 2.กลุ่มที่ไม่มีอาการ แต่เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ ฉะนั้น แนวทางในการวินิจฉัยเพื่อตรวจหาโรคก็จะต่างกัน โดยกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการจำเป็นต้องได้รับการซักประวัติอย่างละเอียด เพื่อเลือกการส่งตรวจต่อ เช่น การเจาะเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจการทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยวิธีวิ่งสายพาน การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) การฉีดสีเส้นเลือดหัวใจ เป็นต้น
นพ.วิพัชร กล่าวอีกว่า ขณะที่กลุ่มที่ไม่มีอาการ แต่เข้ามาตรวจสุขภาพ จะต้องซักประวัติเพื่อหาความเสี่ยง เช่น โรคประจำตัว ประวัติครอบครัวที่มีผู้ป่วยโรคหัวใจ กิจกรรมที่ออกแรงในแต่ละวันได้มากน้อยแค่ไหน จากนั้นจะต้องส่งตรวจเพื่อประเมินความเสี่ยงนั้นๆ เช่น การเจาะเลือดดูระดับคอเลสเตอรอล ที่จะมี 3 ชนิด คือ ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride), ชนิดความหนาแน่นต่ำ (LDL) หรือไขมันชนิดที่ไม่ดี และ ชนิดความหนาแน่นสูง (HDL) หรือไขมันชนิดที่ดี ซึ่ง LDL จะเป็นตัวบ่งชี้โอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
การดูค่าน้ำตาลในเลือดหลังจากที่มีการงดอาหาร ดูค่าน้ำตาลที่สะสมในเลือด ดูค่าการทำงานของตับ ของไต ไปจนถึงการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อดูการนำไฟฟ้าภายในร่างกาย ว่าจะมีการลัดวงจรซ่อนอยู่หรือไม่
“การตรวจสุขภาพจึงเป็นความจำเป็นและมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่มีอาการป่วย แต่ด้วยอายุที่มากขึ้น จำเป็นต้องได้รับการคัดกรองโรค ตรวจพยากรณ์โรคก่อนที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยมีคำแนะนำในการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในอนาคต” นพ.วิพัชร กล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : หมอหัวใจ เตือนวัย 50 ขึ้นไป ระวังโรค "หัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว" แบบไม่รู้ตัว เสี่ยงเป็น "สโตรก"
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th