'เศรษฐา' จี้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย กดดันประชุมกนง. หั่นอย่างน้อย 0.25%
‘เศรษฐา’ จี้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย กดดันประชุมกนง. หั่นอย่างน้อย 0.25%
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง “อย่างน้อย 0.25%” ในสัปดาห์นี้ เพื่อสนับสนุนความพยายามของรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“เมื่อพิจารณาจากตัวเลขเงินเฟ้อซึ่งยังคงเป็นลบ ความคาดหวังของผมอาจจะไม่ใช่แค่ 0.25% แต่อาจเป็น 0.5% เพราะมันอั้นมานานแล้ว ที่จริงควรจะลดมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วด้วยซ้ำ” นายกฯ กล่าว
รายงานระบุว่าจนถึงขณะนี้ ธปท. ก็ยังคงต้านทานแรงกดดันจากรัฐบาลที่ต้องการให้ผ่อนปรนนโยบายการเงิน โดยยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่ระดับ 0.25% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษของไทย ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ธปท. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมต่อไปในการประชุมวันพุธที่ 10 มี.ค. นี้
นายกฯ เศรษฐาซึ่งขึ้นมาบริหารประเทศเมื่อเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว กล่าวว่า เศรษฐกิจอาจขยายตัวได้น้อยกว่า 1% ในไตรมาสแรกของปี 2567 หลังจากที่เติบโต 1.7% ต่อปีในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศครั้งใหญ่จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน โดยให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” ของรัฐบาลมูลค่า 500,000 ล้านบาท (ราว 1.367 หมื่นล้านดอลลาร์) ในไตรมาสที่ 4 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ
“ผมหวังว่าภายในไตรมาสแรกของปีหน้า 2568 เราจะได้เห็นผลลัพธ์ออกมาบ้าง” นายกฯ ให้สัมภาษณ์ที่เกาะสมุย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
รอยเตอร์สระบุว่าแผนดังกล่าวได้รับเสียงวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญบางคนที่มองว่าขาดความรับผิดชอบทางการเงินในแง่แหล่งที่มาของเงิน และการจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศนั้นจำเป็นต้องแก้ที่ปัญหาเชิงโครงสร้างมากกว่า
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะใช้วิธีการกู้เงินพื่อสนับสนุนโครงการนี้ แต่ก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการที่มาของเงินที่จะแจกให้กับประชาชนมากกว่า 50 ล้านคนที่มีสิทธิ์ได้รับแต่อย่างใด
นายเศรษฐาซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็น “เซลส์แมน” ของประเทศ ใช้เวลา 1 ใน 3 ของการทำงานไปกับการเดินสายโปรโมทประเทศไทยในต่างประเทศ โดยเสนอมาตรการจูงใจทั้งด้านภาษีและธุรกิจให้กับบริษัทต่างชาติเพื่อให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
“นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง เรามีบริษัทอีวีของจีนเกือบ 10 แห่งที่จะมาลงทุนที่นี่ มีดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ … จาก อเมซอน กูเกิล ไมโครซอฟท์ และทั่วโลก”
“ถ้าผมไม่ออกไปขายดึงนักลงทุนให้มาไทย พวกเขาอาจจะไปอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนามแทน” นายกฯ เศรษฐากล่าว
ผลักดันพลังงานสะอาด เล็ง ‘นิวเคลียร์’ เป็นทางเลือก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การผลักดันเรื่องพลังงานสะอาดของประเทศไทยก็มีความสำคัญในการดึงดูดการลงทุนเช่นกัน เนื่องจากประเทศตั้งเป้าหมายที่จะใช้พลังงานสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์และลม ให้เป็นครึ่งหนึ่งของการใช้พลังงานทั้งหมดภายในปี 2583
นอกจากนี้ ประเทศไทยก็กำลังศึกษาเรื่องการใช้ “พลังงานนิวเคลียร์” เพื่อเป็นทางเลือกระยะยาวเช่นกัน
“เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก” นายเศรษฐากล่าวพร้อมเสริมถึงพลังงานนิวเคลียร์ว่า “มีราคาถูกที่สุดและมีเสถียรภาพมากกว่า”
ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวผ่าน ‘อีเวนต์-ฟรีวีซ่า’
สำหรับการท่องเที่ยวซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย เป็นอีกด้านที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจำเป็นต้องส่งเสริมเพิ่มเติม ซึ่งรัฐบาลได้ขับเคลื่อนผ่านนโยบายฟรีวซ่ากับหลายประเทศที่เป็นตลาดหลักๆ รวมถึงจีนแล้ว และกำลังวางแผนที่จะขยายไปยังประเทศอื่นๆ
“ปีหน้า จะเป็นปีที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวไทย” “จะมีงานระดับโลก…และงานอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งคอนเสิร์ตและงานแสดงศิลปะ” เศรษฐากล่าว
ผลักดัน ‘แลนด์บริดจ์’ เชื่อมโลก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลจะโรดโชว์ในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. เพื่อส่งเสริมโครงการ “แลนด์บริดจ์” ในภาคใต้ของประเทศไทยมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาท (2.7 หมื่นล้านดอลลาร์) เพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึก 2 แห่ง และถนนพร้อมทางรถไฟเชื่อมระหว่างทะเลอันดามันและอ่าวไทยระยะทาง 90 กม.
เศรษฐากล่าวว่าโครงการนี้จะเป็นการเสนอทางเลือกใหม่จากช่องแคบมะละการะหว่างมาเลเซียและอินโดนีเซียที่มีการสัญจรคับคั่ง เพราะเป็นเส้นทางการค้าส่วนใหญ่ระหว่างเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา
“ในอีก 10 หรือ 15 ปีข้างหน้า ปริมาณการค้าทางเรือก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน… เมื่อพิจารณาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศในแอฟริกา” นายกรัฐมนตรีกล่าวพร้อมเสริมว่า ความต้องการอาหารและการบริการจะเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งไทยไม่ได้แข่งขันกับสิงคโปร์ แต่กำลังเติมเต็มเพื่อรองรับดีมานด์ในอนาคต
เศรษฐากล่าวว่าโครงการสำคัญๆ เช่น แลนด์บริดจ์จะช่วยให้ประเทศไทยบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจการค้าโลกได้มากขึ้น และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของประเทศ
“เราจำเป็นต้องมีเครื่องมือเพื่อให้แน่ใจว่าเรามีที่ยืนในโลกที่วุ่นวายนี้” นายกฯ กล่าว “เราเป็นมิตรกับทุกคน และนั่นเป็นการขยายนโยบายต่างประเทศของเราด้วย”