ด.ต.ร้อง ชุดสืบ-พงส. ไม่ดำเนินคดีกลุ่มชายฉกรรจ์ รุมซ้อมปล้นปืน
ด.ต.ร้อง ชุดสืบ-พงส. ไม่ดำเนินคดีกลุ่มชายฉกรรจ์ รุมซ้อมปล้นปืน
ดาบตำรวจที่เชียงราย เตรียมร้องศาลฯ พงส. ชุดสืบสวน และผู้เกี่ยวข้อง ตาม ม.157 หลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์รุมทำร้าย แย่งอาวุธปืนพกประจำตัวไป ก่อนที่ชุดสืบฯ พื้นที่เกิดเหตุจะติดตามนำมาคืนให้ แต่ไม่มีการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ก่อเหตุ ส่วนตัวเองกลับถูกโยกยายบ่อยครั้ง บางเดือนย้ายถึง 3 ที่ เชื่อคู่กรณีมีอิทธิพลหนุนหลัง
วันที่ 2 มี.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยศ ดาบตำรวจ (ด.ต.) หอบเอกสารหลักฐานยื่นขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิเพื่อสันติภาพ จ.เชียงราย เพื่อดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับกลุ่มวัยรุ่น 5 คน ซึ่งก่อเหตุทำร้ายร่างกายและแย่งปืนหลวงของนายตำรวจคนดังกล่าวไป และต่อมาได้ไปแจ้งความเป็นหลักฐานไว้ที่ สภ.ดอยหลวง จนชุดสืบได้ไปติดตามปืนกลับมาคืน แต่ไม่มีการดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลดังกล่าว หลังเกิดเรื่องผู้ร้องยังโดนโยกย้ายบ่อยครั้ง บางเดือนโดนย้ายสูงสุด 3 ครั้ง จนทนไม่ไหว คิดว่าต้องถูกกลั่นแกล้งจากกลุ่มผู้มีอิทธิพล จึงมาร้องขอให้ทางมูลนิธิฯเป็นสื่อกลางยื่นฟ้องร้องกลุ่มวัยรุ่น และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวทั้งหมด เพื่อคืนความยุติธรรมให้ตนเอง มูลนิธิรับเรื่องแล้วและพร้อมจะยื่นร้องทุกข์ไปยัง กระทรวงยุติธรรม สตช. สนง.จเรตำรวจ ป.ป.ช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก ด.ต.พัชรณัฏฐ์ ปลั่งกลาง ผบ.หมู่ งานสืบสวน สภ.เมืองเชียงราย เล่าว่า วันเกิดเหตุคือวันที่ 23 ก.พ. 64 เวลาประมาณ 20.00 น. ตนได้ไปตามภรรยาซึ่งกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ใกล้กับสามแยกไฟแดง อ.ดอยหลวง ประมาณ 100 เมตร และห่าง สภ.ดอยหลวง ประมาณ 40 เมตร ช่วงนั้นเป็นเวลาเลิกงาน ตนเห็นว่ามีคนเยอะจึงนำปืนกล็อกตราโล่ ขนาด 9 มม. บรรจุกระสุน 12 นัด ติดตัวไปด้วย เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น แต่ภรรยาไม่ยอมกลับ จึงได้มีปากเสียงทะเลาะกันขึ้น และขณะนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่นั่งกินข้าวอยู่ภายในร้าน ซึ่งไม่ได้รู้จักกัน ได้เข้ามารุมทำร้ายตนจนได้รับบาดเจ็บ และแย่งเอาปืนไปจากมือของตน แม้ว่าคนในร้านจะบอกว่าคนถูกทำร้ายเป็นตำรวจ เขาก็ยังไม่หยุด จากนั้นตนจึงวิ่งหนีออกจากร้านอาหารไปประมาณ 20 เมตร กลุ่มชายดังกล่าวก็ยังได้ตามมารุมทำร้ายอีก จึงตัดสินใจวิ่งหนีเข้าไปใน สภ.ดอยหลวง กลุ่มคนดังกล่าวจึงได้ล่าถอยไป
“ได้กลับไปค้นหาอาวุธปืนที่ร้านอาหารแต่ไม่เจอ คาดว่าถูกกลุ่มคนดังกล่าวจะเป็นผู้เอาปืนไป จึงได้แจ้งความเป็นหลักฐานไว้ที่ สภ.ดอยหลวง ภายในคืนเดียวกัน และทราบว่าในวันที่ 24 ก.พ. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบ สภ.ดอยหลวง ได้ไปติดตามอาวุธปืนคืนมาจากกลุ่มชายดังกล่าว และส่งมอบคืนอาวุธปืนให้ ในวันที่ 25 ก.พ. 67 แต่ไม่ได้ดำเนินคดีได้กับกลุ่มคนที่ก่อเหตุ ทั้งที่ได้มีการแจ้งความไว้แล้ว จึงคาดว่ากลุ่มคนดังกล่าวอาจมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลัง”
ด.ต.พัชรณัฏฐ์ เล่าต่อว่า ต่อมาตนซึ่งขณะนั้นปฏิบัติหน้าที่เป็น ผบ.หมู่ (นปพ.) กก.สส.ภ.จว.เชียงราย ก็ถูกโยกย้ายหน้าที่หลายครั้ง บางเดือนถูกย้ายถึง 3 ครั้ง จนรู้สึกว่าอาจถูกกลั่นแกล้ง ล่าสุดถูกโยกมาทำหน้าที่ ผบ.หมู่ สส.สภ.เมืองเชียงราย จึงมาร้องขอความเป็นธรรมกับมูลนิธิเพื่อสันติภาพ เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มชายฉกรรจ์และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง
ด้าน ร.อ.บุญเทียร ปาลีเรียม ประธานมูลนิธิเพื่อสันติภาพ กล่าวว่า มูลนิธิเพื่อสันติภาพ เป็นมูลนิธิทางกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิและเสรีภาพความเป็นมนุษย์ เมื่อดาบดำรวจมาร้องขอความช่วยเหลือกับทางมูลนิธิ ในเบื้องต้นทางมูลนิธิจะยึดเอาหลักฐานเอกสารเป็นสำคัญ เราจะไม่เชื่อคำพูดของใครคนใดทั้งสิ้น และเมื่อได้ไปดูจากบันทึกประจำวันแล้วพบว่า กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้ง 5 คน ซึ่งผู้ร้องไม่เคยรู้จักมาก่อนได้มารุมทำร้ายและแย่งปืนที่ใช้ปฏิบัติงานราชการไป และนำปืนไปจากที่เกิดเหตุ เมื่อมูลนิธิพิจารณาจากหลักฐานดังกล่าวก็พบว่านายดาบตำรวจไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกละเมิดสิทธิ์ ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกลุ่มชายดังกล่าวก็รู้ว่าคนที่กำลังถูกทำร้ายเป็นตำรวจ ปืนที่เอาไปก็เป็นปืนตราโล่ มูลนิธิฯจึงติดใจว่าถ้ากลุ่มชายดังกล่าวไม่มีอิทธิพล ไม่มีใครหนุนหลัง เขาจะกล้าทำร้ายดาบตำรวจได้อย่างไร แถมยังนำอาวุธปืนไปจากที่เกิดเหตุ และอีกประเด็นหนึ่งก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนเป็นผู้ไปติดตามนำเอาอาวุธปืนมาคืน ไม่ใช่ว่ากลุ่มชายดังกล่าวเป็นผู้นำมาส่งคืนแต่อย่างได
ทั้งนี้ แสดงว่าแย่งปืนตำรวจไปแล้วยังมีเจตนาที่จะเอาปืนไปเลย ไม่ได้เอาไปส่งคืนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สมมติว่าหากเขายังเกรงกลัวตำรวจหรือศักดิ์ศรีของตำรวจ เขาน่าจะนำเอาอาวุธปืนไปส่งมอบให้พนักงานสอบสวน สภ.ดอยหลวง ซึ่งก็อยู่ห่างจากที่เกิดเหตุเพียง 30-40 เมตร แต่กลับนำอาวุธปืนหนีหายไปตั้งแต่คืนวันที่ 23 ก.พ. 64 ต่อมาวันที่ 24 ก.พ. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ดอยหลวง ได้ไปติดตามเอาอาวุธปืนคืนมาได้ และพนักงานสอบสวนได้แจ้งให้ดาบตำรวจเจ้าของปืนว่าได้ติดตามเอาอาวุธปืนคืนมาแล้ว เมื่อช่วงเย็นวันที่ 24 ก.พ. ก่อนจะส่งมอบอาวุธปืนและลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานในช่วงเช้าวันที่ 25 ก.พ.
“ที่ติดใจก็คือ กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้ง 5 คน เป็นชาวบ้าน ถ้าหากไม่มีอิทธิพล หรือไม่มีคนหนุนหลัง เขาจะไม่กล้าก่อเหตุดังกล่าว ฉะนั้นมูลนิธิจะยึดเอาหลักฐานเอกสารเป็นหลัก เราจะไม่ดูในเรื่องอื่น เขาจะไปมีปัญหาครอบครัวอย่างไร มีหนี้สินอะไรไหม หรือมีพฤติกรรมรุนแรงอะไร เราจะไม่ได้ไปดูที่ตรงนั้น แต่เรามองว่าเขาถูกละเมิดสิทธิ์ของคนในเครื่องแบบ ซึ่งเรายอมไม่ได้ ในเมื่อเขาร้องขอความเป็นธรรมเราก็ต้องหาความจริง เมื่อความจริงปรากฏแล้ว หากพบข้อมูลความผิดอื่น ทางผู้บังคับบัญชาหรือผู้เกี่ยวข้องก็ต้องไปดำเนินการตามกฎหมาย แต่คดีนี้มีเงื่อนงำ มีพิรุธ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ดำเนินคดีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ก่อเหตุ ซึ่งมูลนิธิยอมไม่ได้ หลังจากนี้ก็จะทำการฟ้องร้องกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้ง 5 คน ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายและชิงทรัพย์ และจะร้องเรียนไปถึง 1. รมว.กระทรวงยุติธรรม เนื่องจากเป็นต้นสังกัดของ กมธ.สิทธิมนุษยชน ในกรณีที่ดาบตำรวจถูกละเมิดสิทธิ์ 2. ป.ป.ช. เพื่อไปตรวจสอบว่ากระบวนการใช้อำนาจรัฐเป็นไปด้วยความถูกต้องหรือไม่ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกทำร้ายและแย่งอาวุธปืนซึ่งเป็นของหลวงไป แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับแจ้งความไม่มีการดำเนินคดีๆ กับกลุ่มคนดังกล่าว 3. ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติถูกย่ำยีศักดิ์ศรี เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกคนทำร้ายและแย่งอาวุธปืนไป กรณีนี้ตำรวจควรจะช่วยกัน 4. สำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ เพื่อไปตรวจสอบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พนักงานสอบสวน ตำรวจชุดสืบสวน และผู้เกี่ยวข้องอื่น กรณีไม่ดำเนินคดีกับคนที่นำเอาอาวุธปืนไปจากที่เกิดเหตุ และ 5. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 5 ในกรณีที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ” ร.อ.บุญเทียร กล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ด.ต.ร้อง ชุดสืบ-พงส. ไม่ดำเนินคดีกลุ่มชายฉกรรจ์ รุมซ้อมปล้นปืน
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
– Website : www.thairath.co.th
– LINE Official : Thairath