เปิดปูมเบื้องหลัง ทุนจีนฮุบธุรกิจเหมืองแร่ทั่วโลกดันเศรษฐกิจสีเขียว บนความขัดแย้งกับชุมชนท้องถิ่น
แร่ลิเทียมถูกขุดจากทะเลทรายอาตากามาในชิลี ซึ่งตั้งอยู่ใน “สามเหลี่ยมลิเทียม”
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา อ้าย ฉิง ถูกปลุกขึ้นกลางดึกจากเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ดังมาจากนอกหอพักของเธอ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาร์เจนตินา
เธอแอบมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นคนงานชาวอาร์เจนตินายืนรายล้อมด้านนอกบริเวณนั้น พร้อมยังปิดกั้นทางเข้าด้วยการจุดไฟเผายางรถยนต์
“มันเริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉันเห็นท้องฟ้าสว่างขึ้นจากกองเพลิง มันกลายเป็นการจลาจล” ฉิงกล่าว เธอทำงานให้บริษัทจีนแห่งหนึ่งซึ่งทำการสกัดลิเทียมจากบริเวณที่เป็นทะเลเกลือในเทือกเขาแอนดีสเพื่อนำไปใช้ในแบตเตอรี
การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นจากบริษัทไล่พนักงานชาวอาร์เจนตินาจำนวนหนึ่งออกไป และเป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างของหลายกรณีที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งซึ่งกำลังก่อตัวเพิ่มขึ้นระหว่างธุรกิจชาวจีนกับชุมชนท้องถิ่น เนื่องจากจีนครองตลาดการแปรรูปแร่ธาตุที่สำคัญต่อเศรษฐกิจสีเขียวอยู่แล้วนั้น กำลังขยายการมีส่วนร่วมในการทำเหมืองแร่เหล่านั้น
เมื่อ10 ปีที่แล้ว บริษัทจีนแห่งหนึ่งเพิ่งซื้อหุ้นส่วนแรกในโครงการสกัดแร่ภายใน “สามเหลี่ยมลิเทียม” ของอาร์เจนตินา โบลิเวีย และชิลี ซึ่งเป็นแหล่งแร่ลิเทียมสำรองขนาดใหญ่ใหญ่ที่สุดในโลก
ข้อมูลจากวารสารด้านการทำเหมืองหลายฉบับ รวมถึงรายงานของบริษัท รัฐบาล และสื่อมวลชน ระบุว่า บริษัทจีนได้เข้ามาลงทุนในกิจการเหมืองแร่ท้องถิ่นเพิ่มเติมอีกมากมาย ขณะที่บีบีซีคำนวณโดยอิงจากสัดส่วนการถือหุ้นของพวกเขา พบว่า ขณะนี้บริษัทจีนควบคุมลิเทียมประมาณ 33% ในโครงการที่กำลังผลิตแร่ชนิดนี้อยู่ หรือโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
พื้นที่ “สามเหลี่ยมลิเทียม” ในภูมิภาคลาตินอเมริกาเป็นบริเวณที่มีปริมาณแร่ลิเทียมมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ในโลก
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ธุรกิจจีนขยายตัว พวกเขาก็เผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดต่าง ๆ ซึ่งบริษัทระดับนานาชาติยักษ์ใหญ่ด้านการทำเหมืองแร่มักโดนกล่าวหาเช่นเดียวกัน
สำหรับ อ้าย ฉิง แล้ว การประท้วงเผายางเป็นการตอกหน้าเธออย่างแรง ตอนแรก เธอคาดหวังว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขในอาร์เจนตินา แต่กลับพบว่า ตัวเองต้องเข้าไปมีส่วนกับร่วมเพื่อการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เนื่องจากเธอมีความรู้ด้านภาษาสเปน
“มันไม่ง่ายเลย” เธอกล่าว
“นอกเหนือจากภาษา เราต้องปรับเปลี่ยนให้หลายอย่างลงตัวมากขึ้น[เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันระหว่างในพื้นที่] เช่น วิธีที่ฝ่ายบริหารมักคิดว่าพนักงานขี้เกียจและพึ่งพาสหภาพแรงงานมากเกินไป รวมถึงความคิดของคนท้องถิ่นที่มองว่าคนจีนมาที่นี่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากพวกเขาเท่านั้น”
ทีมข่าวโกลบอล ไชนา ยูนิต (Global China Unit) ของบีบีซี พบว่ามีโครงการทำเหมืองแร่ทั่วโลกอย่างน้อย 62 โครงการ ที่บริษัทจีนมีส่วนร่วม โดยได้รับการออกแบบมาเพื่อสกัดแร่ลิเทียมหรือแร่ธาตุสำคัญอีก 3 ชนิดสำหรับเทคโนโลยีสีเขียว ได้แก่ โคบอลต์ นิกเกิล และแมงกานีส
แร่ธาตุทั้งหมดเหล่านี้ใช้ในการผลิตแบตเตอรีลิเธียม-ไอออน ซึ่งใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า นอกเหนือจากแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งปัจจุบันเป็นความสำคัญอันดับต้น ๆ ของภาคอุตสาหกรรมจีน โครงการบางโครงการอยู่ในกลุ่มผู้ผลิตแร่ธาตุเหล่านี้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
จีนนับได้ว่าเป็นผู้นำในการกลั่นทั้งแร่ลิเธียมและโคบอลต์มาเป็นเวลานานแล้ว ด้วยส่วนแบ่งในภาคการผลิตของโลกถึง 72% สำหรับลิเธียมและ 68% สำหรับโคบอลต์ ตามลำดับ ในปี 2022 ตามข้อมูลจากสถาบันคลังสมองชัทแธมเฮ้าส์ (Chatham House)
ความสามารถในการกลั่นแร่ธาตุเหล่านี้ รวมถึงแร่ธาตุสำคัญอื่น ๆ ช่วยให้จีนมาอยู่ในจุดที่เป็นผู้ผลิตมากกว่าครึ่งหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายทั่วโลกในปี 2023 จีนยังมีศักยภาพในการในผลิตกังหันลมถึง 60% ของการผลิตทั่วโลก และควบคุมห่วงโซ่อุปทานในการผลิตแผงโซลาร์อย่างน้อย 80% ของแต่ละขั้นตอนการผลิต
บทบาทของจีนในอุตสาหกรรมนี้ยังทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก
แต่ไม่ใช่แค่จีนเท่านั้นที่ต้องการแร่ธาตุเหล่านี้สำหรับเศรษฐกิจสีเขียว องค์การสหประชาชาติระบุว่า หากโลกจะไปถึงเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 ต้องใช้แร่ธาตุเหล่านี้เพิ่มมากถึง 6 เท่า ภายในปี 2040
สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป ต่างพัฒนายุทธศาสตร์ของตัวเอง เพื่อลดการพึ่งพาสายพานการผลิตของจีน
ขณะที่บริษัทจีนขยายโครงการเหมือนแร่ในต่างประเทศ ข้อกล่าวหาต่าง ๆ เกี่ยวกับผลกระทบจากโครงการเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ศูนย์ทรัพยากรธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร กล่าวว่า ผลกระทบเหล่านี้ “ไม่ได้เกิดแค่กับเหมืองของจีน” เท่านั้น เมื่อปีที่ผ่านมา องค์กรนี้ยังเผยแพร่รายงานที่รวบรวมข้อกล่าวหาทั้งหมด 102 ข้อ ที่มีต่อบริษัทสัญชาติจีนที่เกี่ยวข้องกับการสกัดแร่สำคัญ ในบรรดาข้อกล่าวหาเหล่านี้ มีตั้งแต่การละเมิดสิทธิของชุมชนท้องถิ่น ไปจนถึงการทำลายระบบนิเวศ และสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย
ข้อกล่าวหาเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2021-2022 บีบีซียังได้นับข้อกล่าวหาอีกกว่า 40 ครั้ง ที่เกิดขึ้นภายในปี 2023 ซึ่งถูกรายงานโดยกลุ่มองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรหรือตามสื่อต่าง ๆ
ผู้คนจากสองประเทศ ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกันบนโลกใบนี้ ยังได้เล่าเรื่องราวของพวกเขาให้ฟังอีกด้วย
คริสโตเฟ คับวิตา นักเคลื่อนไหวที่อาศัยอยู้ใกล้กับเหมืองรัวชี ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
ห่างออกไปจากตัวเมืองลูบูมบาชี ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก คริสโตเฟ คับวิตา ได้เป็นผู้นำฝ่ายต่อต้านการทำเหมืองโคบอลต์รัวชี ซึ่งมี บริษัท จินฉวน กรุ๊ป (Jinchuan Group) เป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี 2011
เขากล่าวว่า การทำเหมือนแบบบ่อเปิด โดยที่เหมืองตั้งอยู่เพียง 500 เมตรจากบ้านของเขา ทำลายชีวิตของผู้คน ไม่เพียงเท่านั้น แต่ละสัปดาห์ เหมืองจะระเบิดหินสองถึงสามครั้ง โดยแต่ละครั้งจะมีเสียงสัญญาณเตือนเพื่อบอกให้ผู้คนแถวนั้นหยุดทำอะไรก็ตามที่พวกเขากำลังทำอยู่และหาที่กำบังเพื่อความปลอดภัย
“ไม่ว่าจะมีอุณหภูมิเท่าไหร่ ฝนตกหรือไม่ตก หรือพายุกำลังซัดมา พวกเราต้องออกจากบ้าน และไปหาที่หลบภัยใกล้ ๆ กับเหมือง” เขากล่าว
สถานการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องยอมรับ ไม่ว่าจะคนป่วย หรือผู้หญิงที่กำลังจะคลอดบุตร เขาเสริมว่าไม่มีที่แห่งใดที่ปลอดภัย
หมู่บ้านหนึ่งอยู่ประชิดกับบริเวณขอบเหมืองรัวชี
ในปี 2017 มีรายงานว่า วัยรุ่นหญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่า แคตตี คาบาโซ เสียชีวิตระหว่างที่เธอเดินจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน จากเศษหินที่ปลิวออกมา ขณะที่เศษหินอื่น ๆ สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนของคนท้องถิ่นด้วย
ด้านเอลิซา คาลาซา โฆษกของเหมืองรัวชี รับทราบว่า “มีเด็กคนหนึ่งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเธอ[เด็กคนนั้น]ไม่ควรไปอยู่ตรงนั้น และได้รับผลกระทบจากเศษหินที่ปลิวออกมา”
เธอระบุว่า นับตั้งแต่เหตุการณ์ดังกล่าว “เราได้พัฒนาเทคโนโลยี และตอนนี้เรามีระบบการระเบิดที่จะไม่ก่อให้เกิดเศษหินปลิวว่อนอีกต่อไปแล้ว”
อย่างไรก็ดี บีบีซีได้คุยกับแพทริค ชีแซนด์ ผู้จัดการฝ่ายกระบวนการผลิตของบริษัทแห่งนั้นแล้ว แต่ดูเหมือนว่า เขาพูดไปคนละทาง เขากล่าวว่า “หากเขาทำเหมือง เราใช้การระเบิด การระเบิดทำให้เศษหินกระเด็นออกมาได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชุมชนที่ตั้งอยู่ใกล้กับเหมืองมากเกินไปได้… ดังนั้น อุบัติเหตุเช่นนี้จึงเกิดขึ้นหลายครั้ง”
โฆษกของเหมืองรัวชี ยังระบุด้วยว่า ระหว่างปี 2006 ถึง 2012 บริษัทจ่ายค่าชดเชยให้กว่า 300 ครอบครัว เพื่อให้พวกเขาย้ายไปอยู่ในที่ห่างไกลจากเหมือง
บนเกาะโอบี ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลของอินโดนีเซีย มีเหมืองแห่งหนึ่งที่ ไลเจนด์ รีซอร์สเซส แอนด์ เทคโนโลยี (Lygend Resources and Technology) ของจีนเป็นเจ้าของร่วม และยักษ์ใหญ่ด้านเหมืองของอินโดนีเซียเองอย่าง ฮาริตะ กรุ๊ป (Harita Group) ต่างก็เร่งถางป่ารอบ ๆ หมู่บ้านคาวาซี (Kawasi)
จาตัม (Jatam) หน่วยงานเฝ้าระวังด้านการทำเหมืองในอินโดนีเซียกล่าวว่า ชาวบ้านต่างถูกกดดันอย่างหนักให้ย้ายออกจากพื้นที่และยอมรับเงินชดเชยจากรัฐบาล มีหลายสิบครอบครัวปฏิเสธที่จะย้ายถิ่นฐาน โดยระบุว่าเม็ดข้อเสนอดังกล่าวนั้นน้อยกว่ามูลค่าตลาด ผลลัพธ์คือ พวกเขาบางคนถูกข่มขู่ด้วยการดำเนินการทางกฎหมายว่า โดยอ้างว่า ขัดขวางโครงการยุทธศาสตร์ของชาติ
จาตัม กล่าวว่า ป่าไม้เก่าแก่ถูกตัดโค่นเพื่อเปิดทางให้กับเหมืองแร่ พวกเขาจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับแม่น้ำและมหาสมุทรได้เต็มไปด้วยตะกอนได้อย่างไร และสร้างมลพิษต่อสภาพแวดล้อมทางทะเลที่เคยบริสุทธิ์อย่างไร
“น้ำจากแม่น้ำตอนนี้ดื่มไม่ได้แล้ว เพราะมันปนเปื้อนมาก และทะเลที่เคยใสสะอาด กลับกลายเป็นสีแดงเมื่อฝนตก” เนอร์ ฮายาติ ครูที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านคาวาซีเล่าให้ฟัง
ทหารอินโดนีเซียถูกส่งไปประจำการที่เกาะแห่งนี้เพื่อปกป้องเหมืองแร่ และเมื่อบีบีซีเดินทางไปเยี่ยมชมไม่นานมานี้ จำนวนทหารประจำการกลับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จาตัม อ้างว่าทหารถูกนำมาใช้เพื่อคุกคาม หรือแม้กระทั่งทำร้ายผู้คนที่ออกมาพูดต่อต้านเหมืองแร่ เนอร์ ฮายาติ กล่าวว่า ชุมชนของเธอรู้สึกว่า กองทัพอยู่ที่นั่นเพื่อ “ปกป้องผลประโยชน์ของเหมืองแร่ ไม่ใช่สวัสดิภาพของประชาชนของตนเอง”
โฆษกกองทัพในกรุงจาการ์ตา กล่าวว่า ข้อกล่าวหาเรื่องการข่มขู่ “ไม่สามารถพิสูจน์ได้” และในขณะที่ทหารอยู่ที่นั่นเพื่อ “ปกป้องเหมืองแร่” พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อ “โต้ตอบกับคนในท้องถิ่นโดยตรง”
ในแถลงการณ์ เขาอ้างว่า การย้ายถิ่นฐานของชาวบ้านเพื่อเปิดทางให้กับเหมืองแร่ ได้รับการดูแลโดยตำรวจ “อย่างสงบสุขและราบรื่น”
เนอร์อยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่เดินทางไปกรุงจาการ์ตา ในเดือน มิ.ย. 2018 เพื่อประท้วงต่อผลกระทบของเหมืองแร่ แต่ ซัมซู อาบูบาการ์ ตัวแทนรัฐบาลท้องถิ่น กล่าวกับบีบีซีว่า เขาไม่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม
เขายังแบ่งปันรายงานอย่างเป็นทางการที่สรุปว่า ฮาริตะ กรุ๊ป “ปฏิบัติตามหน้าที่ในการจัดการและตรวจสอบสิ่งแวดล้อม”
บริษัทฮาริตะเองก็บอกกับเราว่า บริษัท “ยึดมั่นในแนวปฏิบัติทางธุรกิจที่ถูกต้องตามจริยธรรมและกฎหมายท้องถิ่น” และ “กำลังทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขและบรรเทาผลกระทบเชิงลบใด ๆ”
บริษัทอ้างว่า ไม่ได้ก่อให้เกิดการทำลายป่าไม้เป็นวงกว้าง บริษัทตรวจสอบแหล่งน้ำดื่มในท้องถิ่น และผลการทดสอบจากหน่วยงานอิสระยืนยันว่า น้ำนั้นเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของรัฐบาล นอกจากนี้ บริษัทยังอ้างว่าไม่ได้ดำเนินการยึดที่ดินโดยไม่สมัครใจหรือทำธุรกรรมที่ดินโดยไม่เป็นธรรม และไม่ได้ข่มขู่ใคร
ฝนที่ตกหนักในคาวาซีทำให้แม่น้ำและทะเลกลายเป็นสีแดง
หนึ่งปีที่แล้ว สมาคมการค้าเหมืองแร่จีน หรือ CCCMC เริ่มต้นจัดตั้งกลไกเพื่อรับเรื่องร้องทุกข์ ซึ่งมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาการร้องเรียนที่เกิดขึ้นกับโครงการทำเหมืองแร่ที่เป็นของจีน บริษัทเหล่านี้ “ขาดทั้งความสามารถทางวัฒนธรรมและภาษา” ในการติดต่อกับชุมชนท้องถิ่นหรือองค์กรภาคประชาสังคม ลี่หลีย่า ลี โฆษกของสมาคมกล่าว
อย่างไรก็ตาม กลไกนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่
ในขณะเดียวกัน การมีส่วนร่วมของจีนในกิจการเหมืองแร่ต่างประเทศดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้น มันไม่ใช่แค่ “เกมในทางภูมิรัฐศาสตร์” เพื่อควบคุมตลาดสำคัญเท่านั้น เพราะมันยังสมเหตุสมผลในแง่ของธุรกิจอีกด้วย อดิตยา โลลลา ผู้อำนวยการโครงการเอเชียแห่งเอ็มเบอร์ (Ember) ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักรกล่าว
“การเข้ามาซื้อกิจการจากบริษัทจีน ก็เพราะเพื่อพวกเขาเอง ทั้งหมดก็เกี่ยวกับผลกำไรเท่านั้น” เขากล่าว
ด้วยเหตุนี้ คนงานจีนจะยังคงถูกส่งไปยังโครงการทำเหมืองแร่ทั่วโลก และสำหรับพวกเขา โครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นโอกาสในการหารายได้ที่ดี
ตัวอย่างเช่น หวาง กัง ซึ่งทำงานในเหมืองโคบอลต์ของจีนในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกมา 10 ปี ชายวัย 48 ปีผู้นี้ อาศัยอยู่ในที่พักของบริษัทและกินอาหารที่โรงอาหารของพนักงาน ทำงาน 10 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ โดยมีวันลา 4 วันต่อเดือน
เขายอมรับที่จะแยกตัวจากครอบครัวในมณฑลหูเป่ย์ เพราะเขาหารายได้มากกว่าอยู่ที่บ้านเกิด เขายังชื่นชอบท้องฟ้าแจ่มใสและป่าไม้สูงใหญ่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
เขาสื่อสารกับคนงานเหมืองท้องถิ่นโดยใช้ภาษาฝรั่งเศส สวาฮีลี และภาษาอังกฤษผสมกัน แต่เขาบอกว่า “พวกเราแทบจะไม่ได้คุยกัน ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับงาน”
แม้แต่ อ้าย ฉิง ที่พูดภาษาประจำถิ่นที่เธอพำนักได้อย่างคล่องแคล่ว ก็แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับชาวอาร์เจนตินานอกเวลางาน เธอเริ่มคบหากับเพื่อนร่วมงานชาวจีนคนหนึ่ง และพวกเขามักจะออกไปเที่ยวกับคนอื่น ๆ ที่เหมือนกับพวกเขา [คนจีนด้วยกัน] การอยู่ห่างบ้านเกิดเป็นหลายพันไมล์ทำให้ทุกคนใกล้ชิดกันมากขึ้น
ไฮไลท์หนึ่งสำหรับเธอคือ การไปเยี่ยมชมแร่เกลือบนเทือกเขาแอนดีสอันสูงตระหง่าน ซึ่งเป็นที่ขุดลิเทียมและชีวิตที่ “ชิล”
“อาการแพ้ความสูงเล่นงานฉันเสมอ ฉันนอนไม่หลับและกินอะไรไม่ได้” เธอกล่าว “แต่ฉันชอบขึ้นไปที่นั่นจริง ๆ เพราะทุกอย่างง่ายกว่ามาก และไม่มีการเมืองในออฟฟิศ”
ในรายงานชิ้นนี้ อ้าย ฉิง และ หวาง กัง เป็นนามสมมติ
รายงานเพิ่มเติมโดย เอมิรี มาคูเมโน, โบยเบ มาเลนกา และ ลูเซียน คาโฮซี