เปิดคำฟ้อง 7 ว่าที่ผู้สมัคร สว. 67 ขอศาลปกครองเพิกถอนระเบียบแนะนำตัวของ กกต.
บรรยากาศการเลือก สว. กลุ่มอาชีพ เมื่อปี 2561
ผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) อย่างน้อย 7 คน ฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้สั่งเพิกถอนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือก สว. โดยระบุว่าเป็นการ “ปิดล็อก” กระบวนการเลือก สว. และ “ปิดปาก มัดมือมัดเท้า” ว่าที่ผู้สมัคร
วันนี้ (30 เม.ย.) นายพนัส ทัศนียานนท์ ผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกเป็น สว. กับพวกรวม 6 คน ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ที่พวกเขามองว่า “จำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเกินกว่าเหตุ” และขอให้ศาลไต่สวนเป็นการฉุกเฉินเพื่อกำหนดมาตรการหรือวิธีการบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นการชั่วคราวก่อนพิพากษาด้วย
ระเบียบ กกต. ดังกล่าวลงนามโดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 26 เม.ย. และมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 27 เม.ย.
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ระเบียบนี้เป็นการ “ปิดล็อก” กระบวนการเลือก สว. ที่กำลังจะมีขึ้น ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ปิดลับสำหรับผู้สมัคร ตัดการรับรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้เกิด “บรรยากาศที่ผู้สมัครไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าแนะนำตัว เพราะไม่แน่ใจว่าขอบเขตของการแนะนำตัวอยู่ที่ไหน”
7 ประเด็นสำคัญจากคำร้องของ พนัสกับคณะ
เนื้อหาของระเบียบ กกต. ที่นายพนัสกับพวก มองว่า “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” และขอให้ศาลสั่งเพิกถอนมี 5 ข้อ ประกอบด้วย ข้อ 5, 7, 8, 11 (2) และ 11 (5)
บีบีซีไทยขอสรุป 7 ประเด็นสำคัญในคำบรรยายฟ้องของนายพนัสกับพวก ซึ่งมีเนื้อหา 11 หน้า ไว้ดังนี้
หนึ่ง ระยะเวลาที่ออกระเบียบและกำหนดวันที่มีผลบังคับใช้ “แสดงถึงความไม่สุจริต” โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเวลา 20.40 น. ของวันที่ 26 เม.ย. และมีผลเวลา 00.00 น. ของวันที่ 27 เม.ย. หมายความว่า มีเวลาไม่ถึง 4 ชม. ให้ผู้สมัคร สื่อมวลชน และประชาชน ศึกษาและเตรียมตัวก่อนที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ผู้ป้องจึงเห็นว่า “จงใจไม่ให้ผู้สมัครและประชาชนมีเวลาเตรียมตัว ซึ่งอาจส่งผลร้ายให้บุคคลที่ทำกิจกรรมรณรงค์อยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ต้องได้รับโทษทางอาญา และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง”
สอง ขัดต่อเจตนารมณ์ของการเลือก สว. โดยเอกสารความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ 2560 หน้า 189 เกี่ยวกับที่มาของวุฒิสภาอธิบายไว้ว่า “ให้ สว. มีฐานะเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย มิใช่ผู้แทนของแต่ละกลุ่มหรือแต่ละจังหวัด” ขณะที่ระเบียบ กกต. ห้ามผู้สมัครลงข้อมูลบนเว็บไซต์ เช่น เว็บไซต์ https://senate67.com/ ย่อมทำให้ประชาชนและผู้สมัครคนอื่นไม่อาจเข้าถึงข้อมูลได้ก่อนตัดสินใจเลือกผู้หนึ่งผู้ใด และปิดกั้นการรับรู้การมีส่วนร่วมจากประชาชนที่ไม่ได้ลงสมัคร
สาม ความไม่ชัดเจนของระเบียบ กกต. ทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงข่าวสาร โดยเฉพาะข้อ 7 ที่ให้ผู้สมัครแนะนำตัวได้เพียงบนกระดาษเอ 4 และการใช้ช่องทางออนไลน์ต้องส่งเอกสารแนะนำตัวให้กับผู้สมัครเท่านั้น และข้อ 11 ห้ามผู้สมัครให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ให้มีการเลือก สว.
สี่ เนื้อหาของระเบียบ กกต. ที่จำกัดวิธีการแนะนำตัวทั้งในรูปแบบเอกสาร (ข้อ 7) และใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ข้อ 8) โดยไม่ให้เขียนเนื้อหาอื่นที่มีความสำคัญกับการทำหน้าที่ สว. เช่น จุดยืนในการออกกฎหมาย จุดยืนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือแนวทางการเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ทั้งที่เป็นบทบาทหน้าที่สำคัญของ สว. “บีบบังคับให้ผู้เตรียมตัวสมัคร สว. มีภารกิจในการตามหาผู้สมัครคนอื่น ๆ ในอำเภอเดียวกันและกลุ่มอาชีพเดียวกันด้วยตัวเอง” ทำให้เกิดการแนะนำตัวแบบ “ระบบปิด” จะส่งผลให้กระบวนการคัดเลือก สว. เปิดโอกาสให้คนที่มีอิทธิพลหรือมีเครือข่ายในพื้นที่สามารถจัดตั้ง รวบรวมคน ไปเป็นผู้สมัครได้
ระเบียบ กกต. ฉบับนี้ ห้ามแจกเอกสารแนะนำตัวในสถานที่เลือก
ห้า ระเบียบนี้มีเนื้อหาที่กำหนดเงื่อนไขที่ไม่อาจเป็นไปได้อย่างแน่แท้ กล่าวคือ กำหนดให้ผู้ประสงค์จะสมัครแนะนำตัวกับผู้สมัครด้วยกันเท่านั้น แต่ขณะนี้ยังไม่มีการเปิดรับสมัครผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. ยังไม่มี พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือก สว.
ย่อมไม่อาจมี “ผู้สมัครอื่น” ที่จะให้เผยแพร่การแนะนำตัวของผู้ประสงค์จะสมัครรับเลือกได้ ส่งผลให้ “ระเบียบไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
หก กกต. ใช้อำนาจออกระเบียบในทางที่ขยายความจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้ฟ้องคดีเกินกว่ากรอบที่กฎหมายกำหนด และกำหนดเงื่อนไขที่สร้างภาระเกินจำเป็น เพราะตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ให้อำนาจผู้ถูกฟ้องคดีออกระเบียบเกี่ยวกับการแนะนำตัวของ “ผู้สมัคร” เท่านั้น แต่กลับออกระเบียบครอบคลุมถึง “ผู้ประสงค์จะสมัครรับเลือก” (ข้อ 5) ระเบียบฉบับนี้จึง “ตราขึ้นโดยปราศจากฐานอำนาจตามกฎหมาย เป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้ง”
เจ็ด ระเบียบนี้มีข้อกำหนดที่ไม่มีความสมเหตุสมผล และจำกัดสิทธิเสรีภาพที่ขัดต่อหลักความพอสมควรแก่เหตุ ด้วยการกำหนดให้ใช้เอกสารแนะนำตัวของผู้สมัคร เป็นเอกสารไม่เกินขนาดเอ 4 (ข้อ 7) ทั้งที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายอนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีจำกัดสิทธิเสรีภาพดังกล่าวได้ “จึงเป็นมาตรการที่กำหนดขึ้นตามอำเภอใจ ลุแก่อำนาจ” ขณะที่สิทธิเสรีภาพในการแนะนำตัวของผู้ฟ้องคดีได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ถึงขนาดที่ไม่สามารถใช้สิทธิแนะนำตัวแก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้สมัครได้
เช่นเดียวกับการห้ามผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชน หรือสื่อโฆษณา ใช้ความสามารถ หรือวิชาชีพดังกล่าว เพื่อเอื้อประโยชน์ในการแนะนำตัว ตามข้อ 11 (2) และห้ามแนะนำตัวผ่านสื่อทุกชนิด รวมถึงการให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน นักข่าว หรือสื่อโฆษณาซึ่งเผยแพร่ผ่านบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ตามข้อ 11 (5) เป็นการกำหนดมาตรการที่จำกัดเสรีภาพในการแนะนำตัวเกินสมควรแก่เหตุ เป็นอุปสรรคแก่ประกอบวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ
ไอลอว์หวังเว็บ senate67 กลับมาได้
นายพนัส ซึ่งเป็นอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เสนอตัวลงสมัคร สว. กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มาวันนี้เขานำทีมยื่นฟ้อง กกต. เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และประธาน กกต. เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 2
สำหรับผู้ประสงค์ลงสมัคร สว. ที่ร่วมเป็นผู้ฟ้องคดีนี้ นอกเหนือจากนายพนัส มีอีก 5 คน ประกอบด้วย นายไพรโรจน์ บุญศิริคำชัย แพทย์, นายถนัด ธรรมแก้ว นักเขียนเจ้าของนามปากกา “ภูกระดาษ” , น.ส.ชลณัฏฐ์ กลิ่นสุวรรณ พิธีกร, นายศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์ นักร้อง และนายนิติพงศ์ สำราญคง นักเขียน
“ระเบียบนี้ออกมาแล้ว เท่ากับเป็นการปิดปาก มัดมือมัดเท้าเราหมด แต่ในขณะเดียวกันได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้มีอิทธิพลไม่ว่าอยู่ในระดับอำเภอ จังหวัด ประเทศ ที่เขาสามารถทำไรหมดก็ได้” นายพนัสกล่าวเพิ่มเติม และว่า การเลือก สว. ที่กลายเป็นระบบปิด ทำให้สามารถวางแผนจัดตั้งได้ หากมีคนทำแบบนั้นจริง ๆ ถามว่า กกต. จะใช้ระเบียบนี้จะไปใช้จับได้หรือไม่
พนัส ทัศนียานนท์ เป็นแกนนำยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนระเบียบ กกต.
ส่วนการที่ภาคประชาชนต้องเอาข้อมูลในเว็บ https://senate67.com ลงภายหลังระเบียบ กกต. ออกมา อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ และอดีต สว. ชุดปี 2543 กล่าวว่า “มองว่านี่คือการข่มขู่”
นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน” (ไอลอว์) กล่าวว่า เว็บ senate67 จัดทำขึ้นด้วยความตั้งใจจะช่วยเหลือ กกต. ในการประชาสัมพันธ์, ช่วยผู้สมัครในการแนะนำตัว เพราะไม่รู้จะต้องทำกันอย่างไร ดีกว่าไปเปิดไลน์ลับ ๆ นัดกินข้าว อยู่ในพื้นที่ปิด, ช่วยประชาชนที่อยากเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร จะได้ช่วยกันติดตามกระบวนการ แต่เมื่อระเบียบ กกต. ออกมาอย่างไม่ชัดเจน บอกว่าผู้สมัครจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ แต่ไม่ได้สั่ง เมื่อไม่ได้สั่ง แปลว่าต้องทำได้ แต่ผู้สมัครบางส่วนที่ให้ข้อมูลกับทางเว็บไวต์กลัวผิดระเบียบ กกต.
“ด้วยความเสียใจ เราเลยเอาข้อมูลลง และภายใน 2 วันนี้กำลังจะกลับมาในส่วนข้อมูลพื้นฐาน และการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร ส่วนที่ได้ข้อมูลผู้ประสงค์ลงสมัคร 1,300 คน เป็นความลับ ไม่มีใครเข้าถึงข้อมูลได้อีก” นายยิ่งชีพกล่าว
อย่างไรก็ตามถ้าศาลปกครองสั่งคุ้มครองคดีที่ฟ้องในวันนี้ และให้ระเบียบ กกต. ไม่มีผลบังคับใช้ เว็บไซต์ก็จะกลับมาทั้งหมด ซึ่งนายยิ่งชีพชี้ว่า จะทำให้ผู้สมัครเข้าถึง มีข้อมูลทำการบ้านก่อนไปเลือก
บก.ประชาไทชี้ “กระทบต่อเสรีภาพประกอบสื่อ”
นอกจากนายพนัสและคณะ ยังมีนายเทวฤทธิ์ มณีฉาย ผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกเป็น สว. อีกคน ได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่ 28 เม.ย. โดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนระเบียบ กกต. และให้มีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองก่อนการพิพากษาเช่นกัน
นายเทวฤทธิ์ บรรณาธิการบริหารสำนักข่าวประชาไท ผู้ประกาศตัวลงสมัคร สว. กลุ่มสื่อสารมวลชน ให้เหตุผลในการยื่นฟ้องคดีออนไลน์เอาไว้ 2 ข้อ สรุปความได้ ดังนี้
หนึ่ง ขาดการมีส่วนร่วม และไม่สามารถสร้างกระบวนการรับผิดชอบของผู้ถูกเลือกเป็น สว. เนื่องจากระเบียบแนะนำตัวของผู้สมัคร ไม่เปิดโอกาสให้ระบุความมุ่งหมายหรือสัญญาที่จะทำหากได้รับเลือก “ย่อมส่งผลทำให้ผู้เลือกไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้ว่าการเลือกตัวแทนกลุ่มวิชาชีพนี้จะเข้าไปเป็นตัวแทนทำอะไรบ้าง” อีกทั้งการกำหนดให้แนะนำตัวแก่ผู้สมัครอื่นในการเลือกเท่านั้น (ข้อ 8) ส่งผลให้ประชาชนขาดการมีส่วนร่วมในกระบวนการ
ประชาชนทำความเข้าใจกระบวนการเลือก สว. ในระหว่างไอลอว์เปิด “คลินิก สว.” ครั้งแรกที่ มธ. ท่าพระจันทร์ เมื่อ 17 มี.ค.
สอง กระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของผู้สมัคร 2 กลุ่มคือ 1) กลุ่มสื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม กับ 2) กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดง และบันเทิง นักกีฬา เนื่องจากระเบียบนี้ห้ามผู้ประกอบอาชีพสื่อและนักแสดง “ใช้ความสามารถ หรือวิชาชีพดังกล่าว เพื่อเอื้อประโยชน์ในการแนะนำตัว” (ข้อ 11 (2)) และยังกำหนดให้แนะนำตัวตามที่ กกต. กำหนดไว้ (ข้อ 7) เท่านั้น ซึ่งเขาเห็นว่า ในการทำงานหรือประกอบอาชีพสื่อ มักต้องใช้ข้อมูลที่อยู่ในลักษณะเดียวกับการแนะนำตัวดังกล่าว ในการติดต่อประสานงานกับแหล่งข่าวและบุคคลภายนอก
“ข้อห้ามนี้จะกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของ 2 กลุ่มนี้อย่างชัดเจน ทั้งที่ต้องการสมัครเพื่อรับเลือกเป็น สว. หรือสมัครเพื่อเข้ามาใช้สิทธิเลือกตัวแทนกลุ่มที่เหมาะสม และทั้งที่จะสมัครเข้ามาตรวจสอบสังเกตการณ์กระบวนการเลือกนี้ ย่อมขัดกับหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนและความมุ่งหมายในรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 ที่ระบุในเอกสารความมุ่งหมายฯ… ในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และประสงค์จะลงสมัคร สว. จึงเป็นผู้ได้รับความเสียหาย” คำฟ้องของนายเทวฤทธิ์ระบุ
กกต. แจงให้แค่แนะนำตัว เพราะเป็น สภาผู้ทรงคุณวุฒิ
ก่อนหน้านี้ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ตั้งค่าเป็นสาธารณะ โดยระบุตอนหนึ่งว่า กฎหมายกำหนดให้ผู้สมัคร สว. ทำได้แค่แนะนำตัว นั่นหมายความว่า “ห้ามหาเสียงโดยปริยาย เพราะเชื่อว่าผู้ทรงคุณวุฒิด้วยกันเองที่สมัครทุกคน มีความดี เด่น ดัง ในสาขาอาชีพของตัวเองเป็นที่ประจักษ์และทราบกันดีในวงการนั้นดีอยู่แล้ว และด้วยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจะมีวิจารณญาณในการเลือกที่ถูกต้องได้เป็นอย่างดี โดยไม่มีการจัดตั้ง ฮั้วกันในการเลือก”
เลขาธิการ กกต. ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง 2 สภาว่า สส. เป็น สภาของนักการเมือง มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ส่วน สว. เป็นสภาผู้ทรงคุณวุฒิจากกลุ่มสาขาอาชีพต่าง ๆ และต้องเป็นกลางทางการเมือง
นายแสวงยังให้คำจำกัดความของคำต่าง ๆ ที่ปรากฏในระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัวผู้สมัคร สว.
- การแนะนำตัว: การบอกว่าตัวเองเป็นใคร มีประสบการณ์ในกลุ่มสาขาอาชีพนั้นอย่างไร “แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ทรงคุณวุฒิด้วยกันเองมีข้อมูลในการเลือกกันเองแล้ว ไม่ว่าจะเลือกในกลุ่มหรือเลือกไขว้”
- การหาเสียง: การหา หรือขอคะแนนนิยม โดยการโฆษณา การเสนอนโยบาย หรือการแสดงวิสัยทัศน์ของพรรรการเมืองและผู้สมัคร ดังนั้น “อย่าไปสับสนกับที่มา สส.”
นอกจากนี้นายแสวงยังระบุโทษของการแนะนำตัว เช่น การขอคะแนนกัน การแลกคะแนนกัน (ยังไม่ซื้อเสียง) ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ว่าเป็นการแนะนำตัวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5606/2562 และที่ 5217/2562 พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต หรือที่เรียกว่า “ใบดำ” ส่วนการให้ความรู้ การเชิญชวนลงสมัครโดยทั่วไป ทำได้อยู่แล้ว แต่อาจเป็นเหตุให้เป็นความผิดอื่นได้ หากมีการตั้งกลุ่มเพื่อติดต่อกันไม่ว่าในช่องทางใด ๆ เช่น การตั้งกลุ่มไลน์ และมีการแลกคะแนนกัน ขอคะแนนกัน การฮั้วกัน
เลขาธิการ กกต. ระบุว่า การออระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัว อยู่บนหลักการ 3 ประการคือ 1. เพื่อให้ได้ สว. ตามที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้ 2. เพื่อการแข่งขันที่เป็นธรรม 3. หวังดี คุ้มครองผู้สมัคร