ส่องกองทุนน้ำมัน เริ่มแบกดีเซลไม่ไหวจะขอขึ้นเป็น 32 บาท/ลิตร
ส่องกองทุนน้ำมัน เริ่มแบกดีเซลไม่ไหวจะขอขึ้นเป็น 32 บาท/ลิตร
หลังจากมีกระแสข่าวว่ากระทรวงพลังงานจะมีการหารือกับกระทรวงการคลัง ถึงแนวทางการการปรับลดภาษีสรรพสามิตดีเซลเพิ่มเติมที่มากกว่า 1 บาท/ลิตร และอาจต้องมองไปถึงการขยับเพดานราคาดีเซลเพิ่มขึ้นควบคู่กันไปเช่น 32-33 บาท/ลิตร
พีพีทีวี พบว่า ตามข้อมูลที่ปรากฏ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 25 ก.พ.2567 อยู่ที่ -91,887 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 45,222 ล้านบาท บัญชีก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ติดลบ 46,665 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนถึง 2,005 ล้านบาท นับว่าสูงที่สุดในรอบปี 2567 เนื่องจากระดับราคาน้ำมันตลาดโลกยังทรงตัวระดับสูง โดยกองทุนน้ำมันจะต้องอุดหนุนราคาดีเซลเพื่อตรึงราคาขายปลีกไว้ที่ ไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ตามที่รัฐบาลมีนโยบาย ซึ่งการพิจารณาขึ้นราคาน้ำมันดีเซลควบคู่กันไปเช่น 32-33 บาท/ลิตร ก็อาจจะมาช่วยแบ่งเบาภาระกองทุนน้ำมันได้อีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ในปัจจุบัน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยถึง 4.35 บาท/ลิตร
ขึ้นราคาน้ำมันดีเซล 32-33 บาท/ลิตร เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด?
มีความเคลื่อนไหวจาก นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการลดภาษีสรรพสามิตดีเซลเพื่อดูแลราคาดีเซลไม่ให้เกิน 29.94 บาท/ลิตร(ไม่เกิน30บาท/ลิตร) ที่ขณะนี้กองทุนฯต้องติดลบถึง 9.1 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุเหมือนรัฐให้ขนมจนประชาชนติด
ดังนั้นการปรับขึ้นราคาไปสู่ระดับ 32 บาท/ลิตรจะยิ่งซ้ำเติมประชาชนที่ขณะนี้กำลังประสบปัญหาค่าครองชีพที่สูง
จึงเห็นว่ารัฐควรจะพิจารณาแนวทางหลักๆ 3 เรื่อง
1. หามาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย (Target Group) ที่เป็นกลุ่มเปราะบางและจะมีผลกระทบเช่น กลุ่มรถขนส่ง รถรับจ้าง ฯลฯ เพื่อลดภาระการอุดหนุนลงเพราะสุดท้ายการอุดหนุนที่มากเมื่อราคาตลาดโลกลดผู้ที่จะต้องกลับมาใช้หนี้คือประชาชนอยู่ดี
2. ควรหันมาพิจารณาการพึ่งพาพลังงานภายในประเทศให้มากขึ้นเพราะราคาพลังงานตลาดโลกนั้นมีความผันผวนสูงและยังมีค่าเงินบาทที่หากอ่อนค่าก็จะยิ่งจ่ายแพงเพิ่มขึ้นอีก โดยพลังงานภายในประเทศ เช่น เอทานอล ไบโอดีเซล ซึ่งหากรัฐส่งเสริมและปรับโครงสร้างการผลิตให้ดีๆ ไม่ต้องเสียภาษีฯ ต้นทุนสามารถลดต่ำลงได้อย่างมากซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมัน และเป็นการสนับสนุนภาคการเกษตรในอีกทางหนึ่ง
3. หาแนวทางการบริหารเพื่อลดการพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศให้ลดต่ำลงโดยควรมีแผนระยะกลางและระยะยาว ขณะที่โลกกำลังก้าวไปสู่พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์เซลล์ ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(EV) เป็นต้น
ราคาน้ำมันตลาดโลก
ตามข้อมูลจาก ไทยออยล์ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์พุ่งสูงกว่า 1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากอุปทานน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มตึงตัว หลังตลาดคาดกลุ่ม OPEC+ กำลังพิจาณาเพื่อขยายกรอบเวลาในการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจกว่า 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่อไปจนถึงเดือน มิ.ย. 67
และอาจขยายไปจนถึงสิ้นปี หากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ยังต่ำกว่า 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่อุปสงค์จากจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากการเดินทางที่เพิ่มสูงในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง จากการโจมตีเรือขนส่งระหว่างประเทศโดยกลุ่มกบฎฮูตี ยังคงเป็นปัจจัยผลักดันให้ต้นทุนการขนส่งเชื้อเพลิงสูงขึ้น อย่างไรก็ดี วานนี้ (27 ก.พ. 67) ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ในการเจรจาไกล่เกลี่ยในกรุงปารีสเมื่อสัปดาห์ก่อน อิสราเอลพร้อมที่จะหยุดการโจมตีฉนวนกาซาในเดือนรอมฎอนของชาวมุสลิม โดยอาจสามารถลงนามสงบศึกได้ในต้นสัปดาห์หน้า
ขณะที่ ตัวแทนฮูตีกล่าวว่า พวกเขาจะหยุดการโจมตีในทะเลแดงก็ต่อเมื่อการรุกรานของอิสราเอลในฉนวนกาซาสิ้นสุดลงเท่านั้น
หลังตลาดปิดสถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API) เผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 23 ก.พ. 67 ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 8.43 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับลดลง 2.7 ล้านบาร์เรล
สำหรับราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปทานในภูมิภาคมีแนวโน้มตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น
ขณะที่ตัวเลขการส่งออกน้ำมันดีเซลจากเกาหลีใต้ในเดือน ม.ค. 2567 ปรับลดลงกว่า 2.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ราคายังได้รับแรงกดดันจากโควต้าการส่งออกจากจีนซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในเดือน มี.ค. 2567