รุ่งเรือง พิทยศิริ : เศรษฐกิจโลก(ไทย)ปั่นป่วน ต้องเน้นปฏิรูป
ภาพประกอบข่าว
เศรษฐกิจโลก(ไทย)ปั่นป่วน ต้องเน้นปฏิรูป
หากติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด คงจะเห็นว่ามีความเสี่ยงต่อการเติบโตที่ยั่งยืนได้อย่างรอบด้าน ทั้งสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์แย่งชิงดุลอำนาจระหว่างประเทศ ปัญหาในจุดยุทธศาสตร์โลกหลายพื้นที่ ที่สำคัญสถานการณ์การฟื้นตัวเพราะรออัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาลงให้เกิดขึ้นจริง แต่ก็ยังไม่มีธนาคารกลางประเทศไหนออกมาให้ทิศทางได้ชัดเจนว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยลงได้แล้ว เพราะตัวเลขเศรษฐกิจยังคงแสดงความร้อนแรง มากกว่าเป้าหมายอันเป็นผลมาจากการใช้นโยบายอัดฉีดสภาพคล่องในช่วงโควิดที่ผ่านมา
อุตสาหกรรมในประเทศใหญ่มีความก้าวหน้าสูง ถ่วงน้ำหนักด้วยอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้เซมิคอนดักเตอร์ขนาดจิ๋ว ทำให้เศรษฐกิจโตไม่หยุด เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจเกิดใหม่ในประเทศอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย จีน แม้กระทั่งมาเลเซีย(กำลังเริ่ม) ในขณะนี้ประเทศเกิดใหม่อย่างไทย กลับไม่ถูกขับเคลื่อน และมัวไปนั่งคิดเรื่อง แจกเงิน กับโครงการ…คล้ายคอคอดกระ และถวิลหาความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ คนละอารมณ์กลับประเทศฝั่งตะวันตกเลย
เพราะอะไรครับถึงเป็นเช่นนี้ เราไม่เคยใช้นโยบายอัดฉีดสภาพคล่องแบบเขากัน เคยแต่ใช้นโยบายการคลัง แจกเงินเป็นคราวๆไป และโครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อเทียบกับโลกาภิวัฒน์โลกที่เคลื่อนไป
แม้ว่าประเทศอย่างเรา อยากจะทำการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ แบบ QE หรือ Quantitative Easing เหมือนเขา ก็ใช่ว่าจะทำได้ เพราะสภาพตลาดพันธบัตรและตราสารหนี้บ้านเรา ไม่ได้มีผู้เล่นจำนวนมากที่กระจายตัวตามโครงสร้างเศรษฐกิจเหมือนในระบบปิรามิดการผลิต ธุรกิจหากมีกำไรเหลือ ก็ไม่ได้ลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้เท่าไหร่นัก ยกเว้นรายใหญ่จริงๆ กำไรมักจะตกอยู่ในมือของกรรมการ หรือเจ้าของเป็นการส่วนตัว
ดังนั้นเวลาธนาคารกลางจะซื้อคืนพันธบัตรและตราสารหนี้ ก็ไม่สามารถผลักดันสภาพคล่องออกไปสู่มือธุรกิจให้กระจายตัวเป็นรูปธรรม แล้วคงจะทำ QE แบบเขาไม่ได้ดีนัก ใช่ไหมละครับ เว้นแต่เราจะทำแบบพิมพ์เงินแล้วแจกผ่านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมากพิเศษ ที่เรียกว่า Soft Loan
คำถามต่อมาแล้วทำไมรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังกับ ก.ล.ต. ไม่พัฒนาตลาดพันธบัตรและตราสารหนี้ให้จริงจังกว่านี้ เรามักมาเน้นการพัฒนาที่ตลาดทุน ทำให้เราไม่ค่อยมีกลไกที่ชัดในการอัดฉีดสภาพคล่อง ใช่ไหมครับ ลองนึกภาพตามดูครับว่า หาก ธปท.อยากจะอัดฉีดสภาพคล่องให้ จะทำอะไรได้บ้าง แต่เขาก็ไม่อยากจะทำด้วย
พอมาถึงเรื่องนี้ ถึงอยากเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ประเทศเจริญทางเศรษฐกิจแล้ว เขามักใช้นโยบายการเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะเขามีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจมาอย่างช้านาน และมีระบบกฎหมายและธรรมาภิบาลควบคุมกลไกในระบบเศรษฐกิจเพื่อลดการผูกขาดอย่างมาก จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหากมีบริษัทขนาดใหญ่ขอควบรวมกันเพื่อสร้างความได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจ มักจะไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการผูกขาดทางการค้าได้ง่ายๆ และหลายๆเคสก็มักจะถูกตีตกออกไป เพราะเขามีการกำหนดโครงสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมมาจากเสาหลักของกลไกหลายๆด้าน ไม่ใช่พอกระตุ้นเศรษฐกิจที ธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ก็ได้ประโยชน์เป็นหลัก
การขึ้นค่าจ้างของเขาก็จะเป็นไปตามกลไกอุปสงค์อุปทานของตลาดเอง อุตสาหกรรมที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ หรือมีกำไรมากๆก็มักจะเป็นผู้กำหนดกลไกค่าจ้างของตลาด มีการวิเคราะห์ค่าแรงที่เกิดขึ้นจริงรายเดือน ไม่ใช่มาสาละวนกับค่าแรงขั้นต่ำ แต่ประเทศเกิดใหม่จะต้องคอยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามตัวเลขเงินเฟ้อในระบบ มันก็กลายเป็นว่าต้นทุนในระบบเศรษฐกิจจัดสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองเงินเฟ้อ ไม่ใช่ตอบสนองความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ดังนั้นประเทศเกิดใหม่ ถ้ามีอัตราเงินเฟ้อสูง ก็คงยิ่งจะไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ ยิ่งไม่ได้ใหญ่ถ้าไม่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้า (ทำได้แต่การแข่งกันผลิตปริมาณเยอะๆ ก็คือสินค้าที่กำหนดราคาเองได้น้อย คือสินค้าเกษตร) ซึ่งอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าทันสมัยเป็นผลิตผลที่กำหนดราคาเองได้มาก ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการมีคนที่มีความรู้ขั้นสูงมากๆมารวมตัวกันเป็นผู้ประกอบการ และมีแรงงานที่มีทักษะมาทำงานให้ ดังนั้นจะต้องมีการปฏิรูประบบการศึกษาจริงจัง (สมัยก่อนตอนวิศวกรขาดแคลน ยังมีการเร่งผลิตวิศวกร แต่ปัจจุบันนี้อะไรขาดแคลน แทบไม่เห็นการเร่งรัดสนับสนุนการผลิตบุคลากรเลย) การพัฒนาการค้นคว้าวิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนนโยบายการดึงดูดบุคลากรชั้นนำให้เข้ามาทำงานในประเทศ
นี่คือการปฏิรูปที่จะต้องทำเพื่อสอดรับกับการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจโตให้ได้ตามเป้าหมาย ยิ่งกำหนดเป้าหมายไว้ร้อยละ 5 แต่ปรากฏว่าในไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา ทำได้เพียงประมาณไม่เกินร้อยละ 1 (จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง) เราแทบไม่มีงบประมาณในการพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นสูงในประเทศเลย ทั้งๆที่ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมเอกชนในประเทศไทยล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าสัวและคนเก่งมีความรู้ทั้งนั้น
ผู้ประกอบการทั่วไปยังผลิตเพื่อรองรับการสั่งซื้อของอุตสาหกรรมหนักแบบเดิมๆ และกังวลต่อต้นทุนการผลิตที่สู้เขาไม่ได้ ยิ่งปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต่อเนื่องมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันหนีเพื่อนบ้านออกไปเท่านั้น เพื่อนบ้านส่วนหนึ่งเริ่มไปผลิตสินค้าที่กำหนดราคาเองได้แล้ว อีกส่วนหนึ่งเช่นเวียดนาม แย่งผลิตสินค้าที่กำหนดราคาตามตลาดโลก และเน้นปริมาณ แต่ค่าแรงเขาถูกกว่าบ้านเรามาก แล้วเราก็มานั่งอ้างว่าเศรษฐกิจเราเติบโตไม่ทัดเทียมศักยภาพ มันเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องหรือไม่
ภาพประกอบข่าว
วันนี้เราจึงต้องมากำหนดเกมส์ในการพัฒนาศักยภาพของเราอย่างจริงจัง และกระตุ้นเศรษฐกิจแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปพร้อมกัน มิเช่นนั้นพรรคการเมืองก็จะตกที่นั่งลำบาก จริงไหมครับ ผมเข้าใจดีว่ายังเลิกกระตุ้นแบบแจกเงินไม่ได้ในทันที เพราะเราพึ่งผ่านร้อนมาจากการเมืองที่ผ่านการยึดอำนาจมา แต่ก็ควรจะต้องมีแนวคิดที่ทันสมัยนำทางสว่างในระยะยาวให้กับประเทศด้วยครับ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : รุ่งเรือง พิทยศิริ : เศรษฐกิจโลก(ไทย)ปั่นป่วน ต้องเน้นปฏิรูป
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th