รัฐถกแบงก์ลดดอกเบี้ย แม้หวังดี แต่ไม่เป็นผลดี
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เมื่อนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งอีกขาหนึ่งนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย ได้เรียกนายแบงก์ 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ และ ธนาคารกรุงไทย มาหารือเพื่อขอให้ช่วยลดดอกเบี้ยกับกลุ่มผู้เปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเอสเอ็มอีและประชาชนรายย่อย โดยใช้เวลาพูดคุยอยู่ประมาณ 30 นาที
หลังการพูดคุยดังกล่าว “นายกฯ เศรษฐา” ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า การเชิญนายแบงก์ทั้ง 4 รายมาหารือในครั้งนี้ เพราะรัฐบาลเห็นความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาดอกเบี้ยสูง จึงได้เชิญมาพูดคุยแบบคนที่รู้จักกันมานาน ซึ่งนานกว่า 10-20 ปี ตั้งแต่อยู่ในวงการ โดยได้เชิญทั้ง 4 ท่านมาขอร้องให้พิจารณาเรื่องดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่เปราะบาง โดยการหารือครั้งนี้ก็เป็นการพูดคุยกันว่า พอจะช่วยเหลืออะไรกันได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งนายกฯ ย้ำว่า บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี
เราเห็นว่าการเชิญนายแบงก์ทั้ง 4 ราย ซึ่งล้วนเป็นแบงก์พาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่สุดของประเทศมาหารือในครั้งนี้ แม้จะเป็นเรื่องดีต่อกลุ่มผู้เปราะบาง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าคนกลุ่มนี้ยังเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซายาวนาน แถมรายได้ของหลายๆ คนยังไม่กลับมาเท่ากับก่อนโควิด แต่ค่าครองชีพพุ่งแซงไปเรียบร้อย …เพียงแต่วิธีการดังกล่าวดูจะเป็นการ “แทรกแซง” การทำหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ “แบงก์ชาติ” มากเกินไป จนอาจไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมของประเทศก็เป็นได้
ที่ผ่านมาเราเข้าใจดีว่า “รัฐบาล” พยายามขอร้องแกมกดดันให้ “แบงก์ชาติ” ลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาเพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูง แต่แบงก์ชาติเหมือนไม่ได้รับฟังมากนัก เพราะจากผลประชุมล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ซึ่งเป็นบอร์ดชุดย่อยของแบงก์ชาติยังคงมีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้เช่นเดิม แม้ว่าที่ประชุมจะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปีนี้ลงมาก็ตาม
การที่ กนง. ตัดสินใจปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปีนี้ลงมา แต่ยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่เดิม ซึ่งดูเป็นการทำนโยบายที่ชวนสับสน จึงปฏิเสธไม่ได้ที่ตลาดจะตั้งข้อสังเกตกันว่าแบงก์ชาติกำลังงัดข้อกับรัฐบาลอยู่หรือไม่ แต่การที่รัฐบาลเชิญนายแบงก์มาเพื่อขอให้ลดดอกเบี้ยลงแบบนี้ เท่ากับเป็นการทำงานข้ามหน้าข้ามตาแบงก์ชาติ แน่นอนว่านักลงทุนต่างชาติคงไม่แฮปปี้ที่รัฐบาลจะมีอำนาจด้านนโยบายการเงินเหนือแบงก์ชาติ เราจึงมองว่าท่าทีของรัฐบาลในครั้งนี้แม้จะหวังดีต่อประชาชนกลุ่มเปราะบาง แต่อาจไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมของประเทศเท่าไรนัก!
News Related-
สู้ไม่ไหว! ByteDance ปิดบริษัทลูก Nuverse พร้อมปลดพนักงาน 1,000 คน
-
สุภโชคเยือนกิเลนฯ ! เจลีก เอเชีย ชาลเลนจ์ เผยโปรแกรมหวดทีมไทยลีก
-
ครม.ไฟเขียว 5 จังหวัด เปิดสถานบริการในโรงแรมได้ถึงตี 4
-
อิสราเอลต้อนรับการมาเยือนของ Elon Musk หารือการใช้เน็ต Starlink ในฉนวนกาซา
-
'ไบท์แดนซ์' จ่อยุบธุรกิจเกม หลังแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก 'เทนเซ็นต์' ไม่สำเร็จ
-
TISCO ESU ฟันธง! เศรษฐกิจโลกปี 67 ชะลอตัว ชี้ ‘พันธบัตรโลก’ สร้างผลตอบแทน 8-15% ดีกว่าหุ้น
-
“นฤมล” ถกผู้ส่งออก-นำเข้าปศุสัตว์ -บริษัทส่งออกผลไม้ หวังดันไทย-จีน
-
มองหลากมุม “นโยบายเงินช่วยให้เปล่า” กับ การกระตุ้นเศรษฐกิจ
-
กยศ. แจงปมนักศึกษาพยาบาลไม่ได้รับอนุมัติเงินกู้ ยันคุณสมบัติครบได้ทุกคน
-
น้ำผึ้ง ณัฐริกา สูญเสียครั้งใหญ่จนเป็นซึมเศร้า เคยไปดูศพเพื่อปลง (คลิป)
-
เขินมาก”พัคมินยอง-คิมแจอุค”อวดโมเมนต์ชวนจิ้นผ่านไขหัวใจยัยแฟนเกิร์ล
-
กวาง ขายเรือนหอ 16 ล้านได้แล้ว ขอบคุณที่ให้บทเรียนดีๆ ‘น้ำหวาน’ โผล่เมนต์ลา
-
SHARGE เปลี่ยนชื่อแบรนด์ ตอกย้ำเบอร์ 1 ธุรกิจ EV Charger ครบวงจร
-
สภาการพยาบาลออกประกาศ ห้ามให้ยาแก้ปวด Diclofenac ชนิดฉีด