ทำไมถึงเร็วเกินไปที่จะบอกว่า "กะเหรี่ยง" กำลังชนะกองทัพเมียนมา ?
ทหารของ KNU เผาธงชาติเมียนมา เมื่อยึดฐานทหารแห่งหนึ่งในเมียวดีได้
โชคชะตาของสงครามแนวชายแดนไทย-เมียนมา บริเวณเมืองเมียวดี พลิกผันอย่างรวดเร็วจนน่าสับสน
สองสัปดาห์หลังสูญเสียการควบคุมฐานทัพของพวกเขาในเมืองเมียวดี จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนสำคัญ กองกำลังทหารที่จงรักภักดีต่อฝ่ายรัฐบาลทหาร ที่ยึดอำนาจการปกครองด้วยการทำรัฐประหารเมื่อสามปีที่แล้ว สามารถยึดคืนฐานทัพ กองพันทหารราบที่ 275 (ค่ายผาซอง) กลับมาได้แล้ว
รัฐบาลทหารที่ต่อสู้กับฝ่ายต่อต้านอย่างหนักในช่วงเวลาที่ผ่านมา และประสบความพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายหลายต่อหลายครั้งในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ ดูเหมือนจะกลับมายึดเมียวดีไว้ได้ แต่ภาพที่เห็นนี้มีความซับซ้อนมากกว่านั้น
การยึดครองฐานทัพทั้งหมดใกล้เมียวดีในช่วงต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา อย่างฉับพลันโดยสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นยู (Karen National Union-KNU) ดูเหมือนจะเป็นการประกาศความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในสงครามกลางเมืองซึ่งปะทุขึ้นหลังรัฐบาลยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนเมื่อ 3 ปีก่อน
นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ KNU ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏที่ดำเนินมายาวนานที่สุดในเมียนมา สามารถเข้าควบคุมเมียวดีได้ การยึดครองครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นรางวัลที่เลอค่า เนื่องจากที่นี่เป็นหนึ่งในจุดการค้าข้ามแดนที่สำคัญที่สุดของเมียนมา ที่ทำการค้าผ่านประเทศไทย และยังเป็นแหล่งที่ตั้งของกาสิโนและสถานบันเทิงครบวงจรขนาดใหญ่ซึ่งมีสถานะทางการเงินมั่งคั่ง
ในความเป็นจริงแล้ว KNU ไม่เคยได้ยึดครองเมียวดีจริง ๆ เนื่องจากพวกเขาวางกำลังพลของกองกำลังพิทักษ์ประชาชนหรือพีดีเอฟ (People’s Defence Forces – PDF) ซึ่งเป็นฝั่งพันธมิตร ไว้ที่กองพันทหารราบที่ 275 ซึ่งตั้งอยู่นอกเมือง ขณะที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่บริหารรัฐบาลท้องถิ่นยังคงเป็นชุดเดิมก่อนหน้านี้ ทำให้การค้าชายแดนยังสามารถดำเนินต่อไปได้
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายต่อต้านได้รับชัยชนะคือ การปรากฏตัวขึ้นของกองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยงอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกับกองทัพเมียนมา และไม่มีท่าทีที่แน่นอนต่อการรุกคืบของ KNU
ผู้นำ KNU ยังบอกด้วยว่า การหลีกเลี่ยงการปะทะกันระหว่างกลุ่มกะเหรี่ยงต่าง ๆ ถือเป็นความสำคัญอันดับแรก ๆ
การคิดคำนวณและการไตร่ตรอง
กองกำลังติดอาวุธที่ใหญ่ที่สุดที่เรียกตัวเองว่ากองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นเอ (Karen National Army-KNA) นำโดย พ.อ.ชิต ตุ ขุนศึกผู้แตกหักกับ KNU เมื่อช่วงทศวรรษที่ 1990
เขาควบคุมเมืองชเวโก๊กโก่ซึ่งเป็นแหล่งกาสิโนคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ และถูกกล่าวหาว่าเป็นศูนย์ปฏิบัติการของเหล่าสแกมเมอร์ เงินที่ได้จากเมืองนี้ช่วยให้ พ.อ.ชิต ตุ สร้างกองทัพส่วนตัวที่มีรายได้ดี และมียุทโธปกรณ์เพียบพร้อมให้กับเหล่านักสู้จำนวนหลายพันคนนับตั้งแต่ปี 2010 โดยทำหน้าที่เป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดนซึ่งให้การสนับสนุนกองทัพเมียนมา
เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา พ.อ. ชิต ตุ ประกาศตัดความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหาร แต่ KNU กล่าวหาว่าเขาช่วยเหลือทหารเมียนมาที่ถูกขับออกจากกองพันทหารราบที่ 275 ผู้ปฏิเสธการยอมจำนน
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ KNU ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น คือ การโจมตีทางอากาศของกองทัพเมียนมา ซึ่งใช้ทำลายล้างพื้นที่ที่กองกำลังภาคพื้นดินของกองทัพพ่ายแพ้ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า กองทัพส่งเฮลิคอปเตอร์ Mi35 และเครื่องบิน Y12 เพื่อทิ้งระเบิดฐานทัพในเมียวดี ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และทำให้ประชาชนหลายพันคนต้องหาที่หลบภัยบริเวณชายแดนไทย
แหล่งข่าวจาก KNU ยังบอกด้วยว่า พวกเขาได้รับการร้องขอจากกองทัพไทยว่าอย่ายั่วยุให้เกิดการต่อสู้เพื่อควบคุมพื้นที่เมียวดี เพราะจะขัดขวางการค้าและทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากทะลักเข้ามาในประเทศไทย
ผู้นำ KNU สั่งให้กองกำลังของตนเองทิ้งกองพันทหาราบที่ 275 โดยส่วนหนึ่งกล่าวว่าต้องการหลีกเลี่ยงการทำลายล้างภายในตัวเมืองเมียวดี แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องการมุ่งเน้นไปที่สมรภูมิการสู้รบที่ใหญ่กว่ามาก ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมียวดีประมาณ 30 กิโลเมตร
เพื่อโต้กลับการสูญเสียที่เมียวดี ทางรัฐบาลทหารสั่งให้ส่งกำลังเสริมขนาดใหญ่ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยรถหุ้มเกราะและปืนใหญ่ ยาตราทัพไปตามถนนที่มุ่งหน้าไปยังเมียวดี ถือได้ว่านี่เป็นความพยายามตอบโต้ครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพเมียนมา นับตั้งแต่ความพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเริ่มขึ้นในรัฐฉานเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา
เหล่าทหารของ KNU ถูกส่งไปซุ่มโจมตีกองทัพเมียนมาที่กำลังเคลื่อนทัพเข้ามา ซึ่งต้องเดินทางผ่านป่าและเนินเขานอกเมืองก่อกะเระ ส่งผลให้ยานพาหนะจำนวนหนึ่งถูกทำลายเสียหาย และการเคลื่อนทัพคืบหน้าช้ามาก
กองทหารที่ถูกส่งเข้ามายึดคืนพื้นที่เมียวดีนี้ได้รับคำสั่ง พล.อ.โซ วิน ซึ่งเป็นนายทหารระดับสูงอันดับ 2 ของกองทัพเมียนมา จึงนับได้ว่าความสำเร็จของภารกิจนี้จะมีความสำคัญต่อชะตากรรมรัฐบาลทหารเพียงใด
พล.อ.โซ วิน หายตัวไปจากสาธารณะมาระยะหนึ่งแล้ว จนทำให้เกิดการคาดเดาว่าเขาอาจได้รับบาดเจ็บหรืออาจถูกกวาดล้างโดยพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารซึ่งเป็นเจ้านายของเขา
การยับยั้งหรือไล่กองทัพเมียนมาชุดนี้ออกไปได้ จะถือว่าเป็นความสำเร็จที่สำคัญกว่าการยึดครองเมียวดี เพราะจะทำให้เส้นทางเข้าออกชายแดนทั้งหมดในพื้นที่นี้อยู่ภายใต้การควบคุมของ KNU
แต่ KNU ต้องเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกหลายประการด้วยกัน
มีข้อมูลว่าจำนวนผู้พลัดถิ่นภายในประเทศจากการสู้รบในรัฐกะเหรี่ยงนั้น เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 700,000 คน นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหาร ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด ดังนั้น การยกระดับการต่อสู้กับรัฐบาลทหารจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงมาก
นอกจากนี้ ยังต้องรักษาความสามัคคีระหว่างกลุ่มติดอาวุธที่อยู่ภายใต้กลุ่มของตนเองทั้ง 7 กองพล ซึ่งต่างได้รับอำนาจเด็ดขาดในการดูแลพื้นที่ของตนเองตามธรรมเนียมที่มีมาดั้งเดิม ก่อนจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้เคยมีกรณีพิพาทอันขมขื่นภายใน KNU ซึ่งตั้งคำถามว่าการประนีประนอมกับรัฐบาลกลางเพื่อสร้างสันติภาพและส่งเสริมภาคธุรกิจในภูมิภาคที่ยากจนที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น จะไปได้ไกลแค่ไหน
ในเวลานี้ ทาง KNU ต้องตัดสินใจว่าจะดำเนินนโยบายของตนเองอย่างไรต่อเมียวดี ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของรัฐกะเหรี่ยง นอกจากนี้ ความไม่ไว้วางใจและความแค้นนับตั้งแต่อดีตต่อ พ.อ.ชิต ตุ แห่งกองกำลัง KNA ก็ยังมีอยู่สูง และทาง KNU เองยังมองว่ากาสิโนคอมเพล็กซ์ของ พ.อ.ชิต ตุ เป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติที่สมควรได้รับการปิดตัวลง
ทว่า พ.อ.ชิต ตุ ก็มีแผนทะเยอทะยานที่จะขยายเมืองชเวโก๊กโก่โดยร่วมมือกับบริษัทจีนที่ชื่อว่า Yatai IHG เพื่อให้เป็นเขตสถานบันเทิงขนาดยักษ์ติดชายแดน
เขามีพลังมากพอที่จะขัดขวางความพยายามใด ๆ ที่ต้องการปิดตัวเมืองของเขา เว้นแต่ว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศไทยซึ่งมีฐานะเป็นผู้จัดหาไฟฟ้าและโทรคมนาคมให้กับเมืองชเวโก๊กโก่ แต่นั่นก็ไม่น่ามีความเป็นไปได้ เพราะมีผู้ทรงอิทธิพลของไทยที่มีผลประโยชน์ทางการเงินจากโครงการชเวโก๊กโก่
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้อาวุโสของ KNU บางคน ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจกาสิโนด้วย
จากการพูดคุยกับแหล่งข่าวใน KNU ดูเหมือนว่าทางกลุ่มยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับความซับซ้อนในการยึดครองเมียวดี เมื่อพบว่าตนเองเข้ายึดครองฐานทัพเมียนมาได้ในวันที่ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา
KNU ต่อสู้เพื่อรัฐกะเหรี่ยงซึ่งเรียกร้องการปกครองตนเองมายาวนานกว่า 75 ปี และผู้นำของกลุ่มก็มองว่านี่เป็นความขัดแย้งระยะยาว
ปัจจุบัน พวกเขาร่วมมือกับกลุ่มต่อต้านการรัฐประหาร โดยให้ความเลี้ยงดูและซ้อมรบให้กับกลุ่ม PDF ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของผู้คัดค้านที่หลบหนีออกนอกเมือง และยังเป็นที่หลบภัยสำหรับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติหรือเอ็นยูจี (National Unity Government-NUG) ซึ่งเป็นตัวแทนของฝ่ายบริหารที่ถูกขับไล่หลังจากรัฐบาลทหารยึดอำนาจ
แต่การประสานพลังระหว่างกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ ขุนศึก และกองกำลังของ PDF เพื่อโจมตีกองทัพเมียนมาอย่างเต็มรูปแบบ และปลดรัฐบาลทหารให้ได้นั้น มันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งยังห่างไกลจากความสำเร็จและยังคงมีความไม่แน่นอน