ทัพนักธุรกิจซาอุดีอาระเบีย 100 บริษัท เยือนไทย จับคู่ธุรกิจ หาช่องลงทุน
ทัพนักธุรกิจซาอุดีอาระเบีย 100 บริษัท เยือนไทย จับคู่ธุรกิจ หาช่องลงทุน
วันนี้ (4 พฤษภาคม 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีกำหนดต้อนรับ ดร.มาญิด บิน อับดุลเลาะฮ์ อัลกอเศาะบี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีกำหนดการเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 8 – 10 พฤษภาคม 2567
สำหรับการเดินทางเยือนไทยครั้งนี้ คณะของซาอุดีฯ จะประกอบด้วยคณะภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชนจากซาอุดีอาระเบีย จำนวนกว่า 100 บริษัท เดินทางมาเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) สร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างภาคเอกชนสองฝ่าย เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุน สานต่อความร่วมมือที่เข้มแข็งทางเศรษฐกิจร่วมกัน
นายชัย กล่าวว่า การเดินทางมาเยือนครั้งนี้เป็นผลจากข้อหารือร่วมกันระหว่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายอับดุรเราะห์มาน อับดุลอะซีซ อัลซุห์ฮัยบานี เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567
โดยการเยือนไทยครั้งนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญในการต่อยอดการเยือนซาอุดีอาระเบียของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนตุลาคม 2566 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พบปะกับภาคเอกชนใหญ่ของซาอุดีฯ ในรูปแบบ One-on-One เช่น บริษัท SALIC, PIF, ARAMCO และ SABIC โดยเห็นพ้องที่จะร่วมมือด้านมั่นคงทางอาหาร ด้านพลังงาน และด้านปิโตรเคมี รวมทั้งการสนับสนุนโครงการ Landbridge ของไทย ซึ่งบริษัทซาอุดีฯ ให้ความสนใจอีกด้วย
“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเปิดตลาดความร่วมมือที่มีศักยภาพ เชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดี และการพบปะระหว่างภาคเอกชนร่วมกันจะสนับสนุนให้เกิดการค้าการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง” นายชัย กล่าว
ปัจจุบัน ซาอุดีอาระเบียเป็นคู่ค้าอันดับที่ 17 ของไทย และเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคตะวันออกกลาง จากข้อมูลในปี 2566 ไทย-ซาอุฯ มีการค้าระหว่างกันมีมูลค่า 8,796.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการค้า 1.53% ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปซาอุดีอาระเบีย 2,667.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากซาอุดีอาระเบีย 6,128.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไม้ และผลิตภัณฑ์ไม้ อาหารทะเลกระป๋อง และแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขณะที่ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันสำเร็จรูปเป็นต้น